วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552

“IED” กว่าจะรู้ก็แหลกเสียแล้ว


เมื่อสองปีที่แล้วใครไม่เคยได้ยินเรื่องของ”คาร์บอมบ์”(Car Bomb)อันฉาวโฉ่ ที่ยังเถียงกันไม่จบว่าของจริงหรือจัดฉากก็ต้องถือว่าหลังเขาเต็มทน ไม่ยอมรับรู้ข่าวสารบ้านเมือง นอกจากเรื่องนี้จะดังในบ้านเราก่อนจะเงียบหายไปเพราะมีข่าวการทำรัฐประหารมากลบ “คาร์บอมบ์”หรือระเบิดแสวงเครื่องดัดแปลงนี้ยังเป็นเหตุให้ทหารอเมริกันกับพันธมิตรในอิรักและอาฟกานิสถานเสียชีวิตหรือทุพลภาพอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าฝ่ายปราบปรามจะทำอย่างไรก็ดูเหมือนฝ่ายวางระเบิดจะไม่สะทกสะท้าน ยังก้มหน้าก้มตาวางอยู่อย่างขยันขันแข็ง จนถึงทุกวันนี้ คาร์บอมบ์อาจจะเป็นข่าวที่อิรักบ่อยครั้งก็จริง แต่ในสามจังหวัดภาคใต้ของเรามันก็สร้างความวายวอดให้ไม่น้อย ขนาดรถหุ้มเกราะหนักเป็นสิบตันยังถูกระเบิดนี้ยกลอยได้เหมือนลังกระดาษ
“คาร์บอมบ์”หรือ”ระเบิดข้างถนน” หรืออะไรก็แล้วแต่นี้มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า”Improvised Explosive Device หรือIEDตามที่ปรากฏเป็นข่าว มันเป็นอาวุธแบบ”โอท็อป”สร้างได้ในท้องถิ่นอานุภาพร้ายแรง ไร้ร่องรอย ควบคุมการทำงานได้จากระยะไกล สร้างด้วยวิธีการหลากหลายตั้งแต่ใช้อุปกรณ์เชิงกลง่ายๆไปจนถึงจุดระเบิดด้วยอีเลคทรอนิคซับซ้อน IEDจึงเป็นอาวุธทำลายล้างที่นักรบนอกแบบนิยมใช้ เนื่องจากหาวัตถุดิบได้ง่าย เรียนรู้กลวิธีสร้างไม่นานมือระเบิดก็ออกปฏิบัติการได้แล้ว ถ้าโชคดีก็ได้กลับมาสร้างระเบิดต่อ โชคร้ายก็แหลกชนิดหาซากไม่เจอไปพร้อมกับเหยื่อ
จะมีใครคิดสร้างIEDขึ้นเป็นคนแรกนั้นไม่มีระบุไว้ในประวัติศาสตร์ แต่ที่แพร่หลายที่สุดคือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อเยอรมันยกทัพบุกรัสเซีย นอกจากทหารประจำการแล้วก็มีพวกนักรบใต้ดินชาวเบลารูเซียนนี่แหละที่ถล่มทหารเยอรมันด้วยIED มีทั้งใช้กลไกบังคับให้ระเบิดและฟิวส์หน่วงเวลาเมื่อเหยื่อเข้ามาในระยะ นอกจากใช้สังหารบุคคลแล้วทหารรัสเซียยังใช้วางระเบิดรางรถไฟส่งกำลังบำรุงของเยอรมันด้วยในช่วงปี 1943-1944
รูปแบบของIEDนั้นหลากหลาย ง่ายที่สุดคือรูปแบบที่พวกเวียตกงใช้สมัยสงครามเวียตนาม วัตถุดิบก็หนีไม่พ้นพวกลูกระเบิดที่อเมริกันทิ้งแล้วด้านนั่นเอง ประมาณว่ายอดความสูญเสีย33เปอร์เซ็นต์มาจากระเบิดแบบนี้ และกำลังพลที่เสียชีวิต28เปอร์เซ็นต์มีเหตุจากกับระเบิด ทั้งที่สร้างเองอย่างIEDและกับระเบิดสังหารสำเร็จรูปที่ใช้ในกองทัพ แบบที่แพร่หลายที่สุดคงไม่พ้นระเบิดขว้างยัดกระป๋องนม ด้วยวิธีการง่ายๆคือดึงสลักนิรภัยออกแล้วยัดระเบิดทั้งลูกลงกระป๋องสังกะสี ให้กระเดื่องนิรภัยกดข้างกระป๋อง ผูกเชือกโยงขวางทางเดินไปยังหลักปักหรือโยงกับบานประตู เมื่อเหยื่อเดินผ่านแล้วเตะเชือกหรือเปิดประตู เชือกนั้นจะดึงระเบิดออกจากกระป๋อง เมื่อกระเดื่องนิรภัยกระเด้งหลุดทุกสิ่งในรัศมีทำลายก็แหลกเหลว เป็นIEDราคาถูกและสร้างง่ายที่สุด
อีกรูปแบบที่นิยมใช้ในเวียตนามเช่นกันคือระเบิดหนังสติ๊ก เมื่อพวกเวียตกงทราบดีว่าฝ่ายอเมริกันชอบเผากระท่อม วิธีการก็คือเอาระเบิดมือมาถอดสลักนิรภัยออกแล้วรัดกระเดื่องนิรภัยไว้ด้วยยางหนังสติ๊ก แบบเดียวกับที่เราใช้รัดถุงพลาสติก เอาไปซ่อนไว้ในกระท่อมที่ฝ่ายอเมริกันและเวียตนามใต้เข้าตรวจค้น พอค้นแล้วก็เผาเพื่อไม่ให้ใช้การได้อีก เมื่อเผาแล้วไฟลามไปไหม้หนังสติ๊กละลายให้กระเดื่องก็ดีด เหยื่อไม่ทันระวังตัวก็เสียชีวิตหรือบาดเจ็บกันเป็นแถว
นอกจากเวียตนามแล้วนักรบในอีกซีกหนึ่งของโลกก็ใช้IEDอย่างแพร่หลายเช่นกัน นักรบIRA(Irish Republican Army)ของไอร์แลนด์ใช้IEDกับทหารอังกฤษบ่อยที่สุดเพราะลงทุนน้อย ทำง่ายที่สุดก็คือระเบิดขวด(Molotov Cocktail)แค่กรอกน้ำมันเบนซินใส่ขวดวิสกี้ อุดปากขวดด้วยผ้าแล้วจุดไฟโยนเท่านี้ทหารอังกฤษก็แทบไม่เป็นอันรบแล้ว ระเบิดข้างถนนนั้นพวกIRAก็ใช้มาก่อนอย่างช่ำชอง มีทั้งซ่อนไว้ในท่อระบายน้ำ ถังขยะ ซ่อนไว้ในรถยนต์จอดริมฟุตปาธ พอเหยื่อเคลื่อนที่ผ่านก็กดรีโมท
เหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้นในปี 1979เมื่อทหารอังกฤษถึง18นายเสียชีวิตเพราะระเบิดหมกท่อระบายน้ำสองลูก ปฏิบัติการอุกอาจครั้งนั้นมีชื่อเรียกว่าการสังหารหมู่ที่วอเรนพอยท์(Warrenpoint ambush) โดยกองกำลังIRAใช้ระเบิดหนักถึงครึ่งตัน(500ก.ก.)ซ่อนไว้ในรถพ่วงบรรทุกฟาง จอดไว้ใกล้ปราสาทแนร์โรว์วอเตอร์ในเมืองวอเรนพอยท์ ไอร์แลนด์ แล้วจุดระเบิดเมื่อขบวนรถทหารอังกฤษเคลื่อนผ่าน
ระเบิดลูกแรกสังหารทหารพลร่มอังกฤษได้6นาย แล้วต่อมาอีก20นาทีลูกที่สองก็ระเบิดขึ้นอีกใกล้ประตูอาคารใหญ่ฝั่งตรงข้าม ที่ทำได้ขนาดนี้เพราะIRAเฝ้าสังเกตตลอดมาถึงวิธีปฏิบัติของทหารอังกฤษเมื่อขบวนรถส่วนหน้าพบระเบิดหรือมีอุบัติเหตุ ทำให้คาดคะเนได้ว่าฝ่ายตรงข้ามต้องตั้งศูนย์บัญชาการขึ้นหลังเกิดเหตุในบริเวณใกล้เคียง และคงไม่มีที่ใดเหมาะสมเท่ากับบริเวณประตูบ้านฝั่งตรงข้าม ระเบิดลูกที่สองสร้างผลงานได้ดีเกินคาดเมื่อทหารอังกฤษเสียชีวิตอีก12นาย ในจำนวนนี้10นายมาจากกรมทหารพลร่มในสมเด็จพระราชินี เดินทางถึงที่หมายด้วยเครื่องบินอย่างรวดเร็วทันใจ เพียงเพื่อจะมาตายเพราะระเบิดแสวงเครื่อง
เหตุการณ์นี้เกิดวันเดียวกับการลอบฆ่าลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบตเทน พระญาติของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่2ด้วยระเบิดจากฝีมือIRAเช่นกัน ผลที่ตามมาคือกองทัพอังกฤษระวังตัวแจ เปลี่ยนเส้นทางการขนส่งยุทธปัจจัยจากถนนมาเป็นทางเฮลิคอปเตอร์ค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว และลดจำนวนทหารประจำการในเขตยึดครองของไอร์แลนด์ ปล่อยให้พวกไอริชดูแลกันเองยังสูญเสียน้อยกว่าส่งทหารอังกฤษไปประจำการ
หลังจากโซเวียตยึดครองอาฟกานิสถานในปี 1979 กองโจรมูจาฮีดีนท้องถิ่นต่อต้านด้วยยุทโธปกรณ์จากกลุ่มประเทศมุสลิมและบางส่วนจากสหรัฐฯผ่านทางซีไอเอ มีทั้งกับระเบิดทำลายรถถังและบุคคล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสหรัฐฯคงไม่ส่งให้แต่ระเบิด คนสอนทำระเบิดก็ต้องลงพื้นที่ด้วย พอรู้วิธีทำก็เริ่มดัดแปลงให้อานุภาพร้ายแรงขึ้น เห็นชัดๆคือเอาระเบิดดักรถถังมาใส่ภาชนะพลาสติกเพื่อให้ตรวจจับยาก
อีกวิธีคือการ”ยำ”ด้วยดินระเบิดและสะเก็ดจากวัตถุระเบิดหลายอย่างเข้าด้วยกัน วางระเบิดแล้วนำกำลังไปซุ่มใกล้ๆ พอระเบิดทำงานพวกกองโจรก็ถล่มต่อด้วยอาร์พีจีและปืนเล็ก ส่วนพวกมูจาฮีดีนที่ปฏิบัติงานใกล้พรมแดนปากีสถานนั้นไม่ได้รับกับระเบิดดักรถถังอุดมสมบูรณ์เหมือนพวกอยู่ในเมือง ก็ใช้หัวกระสุนปืนใหญ่ที่โซเวียตยิงแล้วด้านมาดัดแปลงเป็นIED มีส่วนประกอบหลักคือตัวดินระเบิดกับสะเก็ด เชื้อปะทุและเครื่องจุดระเบิดซึ่งเป็นได้ทั้งวิทยุหรือโทรศัพท์เคลือนที่
เมื่อสหรัฐฯบุกเข้าอาฟกานิสถานหลังเหตุการณ์เวิลด์เทรดเซนเตอร์(9/11)เพื่อตามล่าโอซามา บิน ลาเด็น พวกทาลีบันที่เคยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ก็เอาระเบิดที่ยังเหลืออยู่และวิธีการเดียวกันย้อนกลับมาล้างผลาญกองกำลังของสหรัฐฯอีก ทั้งระเบิดหมกท่อระบายน้ำ ระเบิดรถยนต์และอื่นๆ
ผลสำเร็จด้านจิตวิทยาและเศรษฐกิจของIED ยังสืบเนื่องมาถึงสงครามรุกรานอิรักโดยสหรัฐฯที่เริ่มเมื่อปี2003 มันคืออาวุธสุดฮิตที่ฝ่ายต่อต้านใช้ทำลายขวัญและกำลังพลของสหรัฐฯและพันธมิตร ประมาณว่าเมื่อสิ้นปี2007นั้นการเสียชีวิตของทหารฝ่ายยึดครอง40เปอร์เซ็นต์เกิดจาก IED ถ้าวัดจากรายงานของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์จะได้ตัวเลขน่าตกใจกว่านั้น เมื่ออ้างว่าความสูญเสียของทหารสหรัฐฯเพียงชาติเดียวนั้น63เปอร์เซ็นต์ต้องตายไปเพราะIED รัฐบาลฝรั่งเศสเสนอตัวเลขละเอียดลงไปอีกว่าตั้งแต่เดือนมีนาคม2003ถึงพฤศจิกายน2006 ทหารสหรัฐและพันธมิตรที่เสียชีวิตทั้งหมดมีจำนวน3,070นายในอิรัก จำนวนเกือบครึ่งคือ1,257นายเป็นเหยื่อของIEDทั้งในรูประเบิดรถยนต์และอื่นๆ ฝ่ายต่อต้านไม่ได้ใช้ระเบิดกับทหารเท่านั้นแต่ยังขยายผลเผื่อแผ่ไปถึงพลเรือนด้วย เป็นความสูญเสียหนักกว่าการสู้รบตามปกติ
ที่วางระเบิดมักจะเป็นจุดสัญจรของทหารฝ่ายตรงข้ามเช่นริมถนน ในถังขยะ ใต้ซากสัตว์ บรรจุในกระป๋องน้ำอัดลมและกล่องกระดาษที่ดูไม่น่ามีพิษภัย เป็นอาวุธที่สร้างง่ายแต่ตามเก็บยากที่สุด รถฮัมวีของสหรัฐฯในอิรักจึงต้องเพิ่มความปลอดภัยด้วยการหุ้มเกราะ แต่น้ำหนักเกราะก็ไปเพิ่มภาระให้ตัวรถเพราะฮัมวีไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้เข้าต่อตีโดยตรง คุณสมบัติด้านการทรงตัวจึงเสียไป มีรายงานว่าฮัมวีหุ้มเกราะเหล่านี้พาทหารแหกโค้งเสียชีวิตไปไม่น้อย พอเห็นฝ่ายตรงข้ามป้องกันตัวเองได้มากขึ้น IEDก็เปลี่ยนที่ไปวางบนกิ่งไม้ เสาไฟฟ้าหรือชั้นบนของอาคาร เพื่อให้สาดสะเก็ดลงมายังตำแหน่งบอบบางที่สุด เฉพาะเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วเพียงเดือนเดียวนั้นถือเป็นช่วงเวลาทองของนักวางIED เพราะมันคร่าชีวิตทหารสหรัฐฯกับพันธมิตรไปมากถึง 89 นายจากทั้งหมด 129 นายที่ถูกถล่ม
ในสามจังหวัดภาคใต้ของเรานั้นคงทราบกันอยู่ว่าคุ้นเคยกับIEDมานาน มีหลายรูปแบบทั้งซ่อนในมอเตอร์ไซค์ หมกถังขยะ วางไว้กับเสาไฟฟ้า มีตั้งแต่สร้างได้ง่ายๆเหมือนระเบิดยัดกระป๋องในเวียตนามไปจนถึงสลับซับซ้อนแบบยัดดินระเบิดไว้ในถังดับเพลิง ที่ประณีตหน่อยก็ลงทุนเจาะพื้นถนนเป็นโพรงแล้วยัดด้วยดินระเบิด รอให้ยานยนต์ลาดตระเวนแล่นผ่านแล้วกดระเบิด ปริมาณที่ใช้ก็มากไม่แพ้ในตะวันออกกลาง สร้างความวอดวายได้พอกัน ทั้งกลวิธีการวางและจุดระเบิดยังซับซ้อนกว่าในอิรักและอาฟกานิสถาน ขนาดกองทัพสหรัฐฯเองยังต้องส่งเจ้าหน้าที่มาศึกษากลไกการวางและเก็บกู้ระเบิดในไทย ขณะนี้ยังไม่มีการรวบรวมยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในภาคใต้จากIEDอย่างเป็นทางการ แต่ถ้ามีจริงก็คาดว่าตัวเลขน่าจะสูงจนน่ากลัว
ปัจจุบันนี้กองทัพสหรัฐฯในอิรักแก้ทางฝ่ายต่อต้าน ด้วยการใช้อากาศยานไร้นักบิน(UAV)ลาดตระเวนแทนพลเดินเท้าและรถยนต์มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงสูญเสียกำลังพลจากIED หรืออย่างเลวที่สุดก็คือดัดแปลงรถหุ้มเกราะให้มีเหลี่ยมมุม ลดองศากระทบของสะเก็ดและลดแรงอัดเพื่อรักษาชีวิตของทหาร
ในบรรดาอาวุธทั้งหมดนั้นIEDได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าไม่เคยล้าสมัย เป็นอาวุธเพื่อสงครามจรยุทธอย่างแท้จริง เพราะราคาถูก หาวัตถุดิบได้ง่าย สร้างง่าย นำไปวางแล้วจุดระเบิดก็ง่าย แต่ส่งผลกระทบต่อฝ่ายตรงข้ามได้เหนือความคาดหมายยากแก่การเก็บกู้ ทำให้ฝ่ายปราบปรามสูญเสียงบประมาณมหาศาลในระยะยาว
เราเห็นตัวอย่างการแก้ปัญหาในตะวันออกกลางแล้ว ตอนนี้ก็คงต้องคิดล่ะว่าจะลดความสูญเสียกำลังพลในภาคใต้ได้อย่างไร จะปรับปรุงยุทธวิธีหรือจัดหาวัสดุอุปกรณ์อื่นใดก็ควรรีบทำ ถ้าคนในกองทัพคิดอยู่แล้วผมก็ขอบคุณ แต่อยากให้เร่งสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เร็วกว่านี้อีกได้หรือไม่ เพราะทหารของเราต้องล้มตายลงไปทุกวัน ถ้าใครจะบอกว่า”ช้าๆได้พร้าเล่มงาม”ก็พูดได้ แต่ที่กำลังพูดถึงนี่มันเป็นระเบิดครับไม่ใช่พร้า ยิงช้ากลับยิ่งจะสูญเสีย




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น