วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

HortenHo229เครื่องบินล่องหนแบบแรกของโลก ต้นแบบF-117และB-2

สรศักดิ์ สุบงกช

                   เรารู้จักเครื่องบินทิ้งระเบิดบี-2,เครื่องบินขับไล่เอฟ-117และเอฟ-22 ในฐานะเครื่องบินล่องหน(stealth)ยุคใหม่ที่เรดาร์แทบจะจับสัญญาณไม่ได้จากลักษณะการออกแบบและสารเคลือบผิวพิเศษที่ดูดกลืนคลื่นสะท้อน เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่ต้องใช้ความวิริยะและเงินทุนมหาศาลเพื่อวิจัยและพัฒนากว่าจะสำเร็จออกมาเป็นสุดยอดเครื่องบินรบ แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเทคโนโลยีล่องหนของอเมริกานั้นมีต้นกำเนิดมาจากอากาศยานในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ครั้งนาซีเรืองอำนาจ ในชื่อว่าHorten Ho 2-29 ที่ถือกำเนิดขึ้นในเดือนมีนาคมปี1944ขณะเยอรมันกำลังล่าถอยในทุกแนวรบ ตามแนวความคิดใหม่ว่าต้องเป็นเครื่องบินเจ็ตขับไล่ทีี่เร็วกว่า ไกลกว่า และหลบตรวจจับของเรดาร์ได้ดีกว่าเครื่องบินแบบไหนๆที่นาซีเยอรมันเคยสร้าง โดยที่เหล่าวิศวกรเยอรมันไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่านี่จะกลายเป็นต้นแบบของเครื่องบินล่องหนของอเมริกาในอีกหกสิบปีต่อมา เป็นหลักฐานอีกชิ้นที่แสดงให้เห็นว่าเยอรมันสามารถพัฒนาเทคโนโลยีนำหน้าฝ่ายสัมพันธมิตรไปหลายปีแม้จะตกเป็นเบี้ยล่าง


                นับเป็นโชคดีของฝ่ายสัมพันธมิตร ที่เยอรมันสร้างต้นแบบออกมาได้แค่สามเครื่องเท่านั้นก่อนการยกพลข้ึนบกที่ฝรั่งเศส มิฉะนั้น"ฮอร์เทน ฮาโอ229”(Horten Ho229)อาจจะสร้างความเสียหายให้กำลังทางอากาศของฝ่ายอเมริกันและอังกฤษได้มากไม่แพ้เจ็ตขับไล่อย่างเมสเซอร์ชมิตต์ เอ็มเอ262(Messerschmitt Me-262)
เรื่องราวของฮอร์เทนเริ่มขึ้นในปี1943เมื่อกองบัญชาการทหารสูงสุดเริ่มยอมรับความพ่ายแพ้ที่กำลังคืบคลานเข้ามา จึงหวังจะเร่งสร้างสุดยอดอาวุธที่จะพลิกสถานการณ์ได้โดยเฉพาะด้านยุทธเวหา เมื่อเครื่องบินทิ้งระเบิดของเยอรมันเสียเปรียบทุกประตูเมื่อเผชิญกับความคล่องตัวและความเร็วของเครื่องบินขับไล่สปิตไฟร์และมัสแตง ตลอดจนการวางยุทธศาสตร์ผิดพลาดที่เน้นการสนับสนุนการรบภาคพื้นดินเป็นหลัก แทนที่จะวิจัยและพัฒนาเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ เช่นบี-17หรือบี-29ของฝ่ายสหรัฐฯ เครื่องบินทิ้งระเบิดหลักของเยอรมันจึงมีพิสัยบินใกล้ บรรทุกระเบิดและอาวุธอื่นได้น้อย มาคิดเปลี่ยนหลักนิยมการสร้างอากาศยานได้ก็ล่วงเข้าปลายปี1942แล้ว ซึ่งกองทัพที่6จากสมรภูมิสตาลินกราดในรัสเซียเริ่มประสบเค้าลางแห่งความหายนะ และฮาโอ229ก็คือผลพวงชิ้นหนึ่งจากแนวความคิดที่เปลี่ยนไปของกองทัพอากาศเยอรมัน

              เพื่อให้ได้เครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัยบินไกลที่ดีกว่าแบบเดิมทั้งของฝ่ายเยอรมันและของศัตรูแ ฮร์มันน์ เกอริงผู้บัญชาการทหารอากาศและจอมพลแห่งอาณาจักรเยอรมันที่3และอดีตนักบินขับไล่ระดับเสืออากาศจากสงครามโลกครั้งที่1 ได้วางคุณสมบัติของเครื่องบินขับไล่แบบใหม่ไว้ว่าต้องเป็นไปตามหลัก"1,000 1,000 1,000”คือต้องบรรทุกน้ำหนักได้กว่า1,000.. บินได้ไกลกว่า1,000..และทำความเร็วได้ถึง1,000../.. นักบินพี่น้องในวัยสามสิบกว่าคือไรมาร์และวัลเธอร์ ฮอร์เทนผู้ร่วมออกแบบเสนอรูปแบบที่ล้ำยุคมากในสมัยนั้นคือ"ปีกบิน" เช่นเดียวกับบี-2ของสหรัฐฯในปัจจุบันเข้าที่ประชุม ผ่านการพิจารณาแล้วเข้าสู่ขั้นตอนการวิจัยและพัฒนาอย่างรีบเร่งในช่วงเพียงปีกว่าๆ เริ่มต้นจาก1943ถึงเริ่มสร้างเครื่องบินต้นแบบที่เมืองโกตติงเกน เยอรมนี ในปี1944 ผู้รับหน้าที่สร้างเครื่องยนต์ในนามเรียกขานว่าBMW003คือไบเออริชเชน โมโตเรน แวร์เค่อะ(Byerischen Motoren Werke:บีเอ็มดับเบิลยู) ผู้สร้างชื่อเสียงเลื่องลือมาแล้วจากเครื่องยนต์ของเครื่องบินขับไล่ใบพัดระดับตำนานเมสเซอร์ชมิตต์ เอ็มเอ-109และเจ็ตขับไล่เอ็มเอ-262 รูปแบบปีกบินที่ว่าล้ำยุคแล้วยังมีที่ไปไกลกว่านั้น คือการเคลือบผิวเครื่องบินทั้งลำด้วยผงถ่านไม้คลุกกาว ส่วนผสมง่ายๆที่สามารถดูดกลืนคลื่นสะท้อนจากเรดาร์ได้ชะงัด ตามความคิดของไรมาร์ ฮอร์เทน
         
         ทฤษฎีของไรมาร์คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่พุ่งมาจะถูกผงถ่านสีดำขรุขระดูดกลืนไว้หมด ไม่สะท้อนกลับไปหาต้นคลื่น ผลคือฮาโอ229จะเหลือเพียงจุดเล็กๆแทบมองไม่เห็นเลยบนจอเรดาร์(ยุคนั้น) ด้วยหลักการเดียวกันกับเครื่องบินขับไล่ล่องหนเอฟ-117เอ"ไนท์ฮอว์ค"ของสหรัฐฯ ที่เคลือบผิวเครื่องบินด้วยกราไฟต์ที่มีส่วนประกอบแทบไม่ต่างจากถ่านไม้ในยุคนาซี ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่เครื่องบินสองแบบถึงแม้จะถือกำเนิดห่างกันนับหลายสิบปี แต่ก็มีแผนแบบและวัสดุคล้ายคลึงกัน เพราะหลังสงครามสงบฝ่ายอเมริกันสามารถยึดต้นแบบของฮอร์เทน ฮาโอ229ได้พร้อมพิมพ์เขียวและวิศวกร เมื่อมันถูกสร้างออกมาเพียง3ลำและบินไม่ได้แล้วในยุคปัจจุบันที่สหรัฐเริ่มพัฒนาเครื่องบินล่องหนขึ้น จึงเกิดข้อสงสัยขึ้นว่าถ้าฮาโอ229บินได้จริงจะสามารถล่องหนได้ตามทฤษฎีของไรมาร์ ฮอร์เทนหรือไม่?

          ด้วยต้นแบบที่ถูกอนุรักษ์ไว้ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์กับพิมพ์เขียวฉบับดั้งเดิม บริษัทนอร์ธรอป-กรัมแมนผู้สร้างเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหนบี-2ของสหรัฐฯจึงสร้างฮาโอ229ขึ้นใหม่ด้วยวัสดุสร้างแอร์เฟรมและวัสดุเคลือบแบบดั้งเดิม เพื่อทดสอบการดูดซับคลื่นเรดาร์เพียงอย่างเดียวโดยไม่ให้ความสำคัญต่อเครื่องยนต์และความเร็ว นอร์ธรอปฯใช้เวลาสร้าง2,500ชั่วโมงกับงบประมาณอีก250,000ดอลลาร์ เพื่อให้ได้เครื่องบินจำลองมาตรส่วน1/1ที่ใช้ตั้งไว้ทดสอบการดูดกลืนคลื่นเรดาร์เท่านั้นบนเสาสูง50ฟุตให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าฉายกระทบทุกด้านทั้งบนและล่าง

        ผลการทดสอบทฤษฎีของไรมาร์ ฮอร์เทนโดยนอร์ธรอปฯปรากฎว่าฮาโอ229สามารถดูดกลืนคลื่นเรดาร์ได้จริง ถึงแม้จะไม่ส่งผลเลิศเท่าที่วิศวกรนาซีคำนวณไว้แต่ก็ทำให้เครื่องเล็กลงมากในจอเรดาร์ มันอาจไม่ล่องหนได้ดีเท่าบี-2แต่ถ้าเยอรมันผลิตได้สัก300-500ลำก่อนปี1942แล้วส่งไปทิ้งระเบิดกรุงลอนดอนกับเมืองใกล้เคียง แทนเครื่องบินทิ้งระเบิดสนับสนุนการรบภาคพื้นดินอย่างไฮน์เกล ฮาเอ-111(Heinkel He-111) ผลการรบในช่วงนั้นอาจเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยความสามารถล่องหนและความเร็วที่ใกล้เคียงเครื่องบินเจ็ตปัจจุบัน กว่ากองทัพอากาศอังกฤษจะส่งสปิตไฟร์ขึ้นสกัดกั้นได้ความเสียหายคงเกิดขึ้นมหาศาล "ยุทธเวหาแห่งบริเทน"คงมีโฉมหน้าที่เปลี่ยนไปในทางเลวร้ายสำหรับอังกฤษ และ"ยุทธการสิงโตทะเล"ของเยอรมันที่จะเปิดฉากยกพลขึ้นบกก็อาจเป็นจริงได้

     ปีเตอร์ เมอร์ตันผู้เชี่ยวชาญด้านอากาศยานจากพิพิภัณฑ์สงครามอิมพีเรียลแห่งดักซ์ฟอร์ดในเคมบริดจ์ไชร์ของอังกฤษ ให้ความเห็นเกี่ยวกับฮาโอ229ไว้ว่า"ถ้าเยอรมันมีเวลาพัฒนาเครื่องบินแบบนี้ทัน เชื่อว่ายุทธเวหาเหนืออังกฤษต้องเปลี่ยนโฉมหน้าไปแน่ๆ ตามทฤษฎีแล้วรูปทรงปีกบินนี้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการออกแบบ มันก่อแรงต้านน้อยมากจนทำให้ทำความเร็วสูงได้เร็ว ดำดิ่งแล้วร่อนได้ไกลอย่างไม่น่าเชื่อ"

       ฮอร์เทน ฮาโอ229คือหนึ่งในอีกหลายตัวอย่างที่แสดงถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสงครามของเยอรมัน ที่ฝ่ายชนะคือสหรัฐฯ อังกฤษและรัสเซียนำองค์ความรู้และบุคลากรมาใช้ประโยชน์หลังสงครามสงบ ทั้งด้านการทหารและพลเรือน แม้แต่การบุกเบิกด้านอวกาศของสหรัฐฯก็ได้นักวิทยาศาสตร์เยอรมันคือดอกเตอร์แวร์เนอร์ ฟอน เบราน์เจ้าหัวหน้าโครงการจรวดวี-2เป็นกำลังสำคัญ

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

เสื้อเกราะ Modular



โดยสรศักดิ์ สุบงกช
sosak@me.com
             การจะนำแผ่นเกราะกันกระสุนมาติดตัวนั้นหากจะว่าง่ายก็ง่าย แต่การจะออกแบบเครื่องห่อหุ้มหรือเกราะซึ่งจะเรียกว่า"เสื้อเกราะ"(tactical vest) หรือ"เปลือก”(plate carrier)ให้ใช้งานได้คล่องตัว ถอด/สวมใส่ได้ง่ายและเบานั้นมีความพยายามจะทำกันอยู่นับได้เป็นสิบปีแล้ว หลังจากรูปแบบการรบเปลี่ยนมาเป็นสงครามในเมืองซึ่งทหารต้องสู้กันในระยะใกล้ ด้วยอาวุธและอุปกรณ์ที่เปลี่ยนไป เสื้อเกราะแบบแยกส่วน(Modular)จึงต้องพัฒนาตามเนื่องจากมันไม่ได้มีหน้าที่แค่ห่อหุ้มแผ่นเกราะแล้วยึดติดตัวทหารเท่านั้น ยังต้องเป็นที่อยู่ของยุทโธปกรณ์อีกนานาชนิด ทั้งซองกระสุนปืนเล็กยาว ซองกระสุนปืนพก ระเบิดขว้าง สายรัดข้อมือ ถุงน้ำ และอื่นๆเท่าที่ทหารหนึ่งนายจะเห็นว่าจำเป็นจนอยากนำมันติดตัวไปพร้อมเกราะและกระสุน

จากเสื้อเกราะที่มีไว้เพื่อหุ้มห่อแผ่นเกราะ มันจึงกลายเป็นอุปกรณ์กระจายน้ำหนักที่มีชื่อเรียกเป็นทางการว่าMOLLE(Modular Lightweight Load-carrying Equipment) เพื่อให้ทหารใช้ประกอบอุปกรณ์ที่จำเป็นรวมถึงเป้สนามในจุดต่างๆของเสื้อ ด้วยการใช้ผ้าแถบไนลอนเนื้อหนาเย็บเว้นช่วง เรียงตัวเป็นแถวจากบนลงล่างให้เป็นช่องสอดอุปกรณ์ได้ ซึ่งตัวอุปกรณ์หรือกระเป๋าที่จะนำมาติดก็ต้องถูกออกแบบให้มีสายสอดเว้นระยะเท่าระยะของช่องที่แถบไนลอน กรรมวิธีนี้ช่วยให้ทหารสามารถเลือกติดอุปกรณ์ได้หลากหลายชนิดและตำแหน่งบนเสื้อเกราะ สับเปลี่ยนตำแหน่งได้ง่ายๆเมื่อต้องการบนเสื้อเกราะที่เป็นทั้งเครื่องห่อหุ้มแผ่นเกราะและเป็นที่ติดอุปกรณ์แบบกระจายน้ำหนักไปทั่วตัว หากสิ่งของบนตัวทหารน้ำหนักเท่ากันเมื่อเปรียบเทียบระหว่างเสื้อเกราะโมดูลาร์กับสายเก่งและกระติกน้ำรูปแบบเดิมๆที่ใช้กันมาตั้งแต่สงครามนโปเลียน การเปลี่ยนมาใช้ชุดอุปกรณ์แบบโมดูลาร์จะช่วยให้ทหารจะสบายตัวและคล่องตัวกว่า โดยเฉพาะกระติกน้ำแบบเดิมที่ทั้งเกะกะและกดทับบั้นเอวจนเจ็บ ส่งเสียงดัง ไม่สะดวกทั้งเมื่อวิ่งและคลาน เมื่อเปลี่ยนเป็นถุงน้ำประกอบชุดโมดูลาร์แล้วทหารจะเคลื่อนไหวได้สบายกว่า ทั้งยังเงียบ ไร้เสียงดังจนเปิดเผยตำแหน่งของตน
เสื้อเกราะโมดูลาร์ถูกพัฒนาไปทุกปีตามความต้องการของกองทัพ เพื่อตอบสนองภารกิจและเพื่อความคล่องตัวที่สุดของทหารรวมทั้งการระบายได้ดีทั้งความร้อนและความชื้น นอกจากแบบตามปกติของกองทัพแล้วภาคเอกชนก็เป็นอีกกลไกหนึ่งที่ช่วยให้เสื้อเกราะพัฒนาตัวเองไปได้เร็วและหลากหลาย อีเกิล อินดัสตรีส์คือผู้นำรูปแบบใหม่ของเสื้อเกราะมาสู่วงการทหาร ด้วยเสื้อเกราะปลดเร็ว(Combat Integrated Releasable Armor System)สำหรับหน่วยรบพิเศษที่ต้องการความคล่องตัวสูง ใช้รูปแบบMOLLEแต่ปลดจากตัวทหารได้เร็วเพียงดึงห่วงติดสายเคเบิลที่ร้อยโยงจุดเชื่อมต่อของเสื้อไว้ เพื่อประโยชน์ในการกู้ภัย ให้ทหารถอดเสื้อเกราะได้เร็วหากเกิดอุบัติ เช่นเมื่ออากาศยานตกลงในทะเลหรือเมื่อต้องปฐมพยาบาล
CIRASคือเสื้อเกราะลักษณะคล้ายเสื้อกล้ามในรูปแบบMOLLE ส่วนนอกสุดซึ่งต้องทนกับการครูดไถในปฏิบัติการถูกตัดเย็บด้วยผ้าไนลอนคอร์ดูราหนา1,000ดีเนียร์ ส่วนในซึ่งใช้เป็นที่เสียบแผ่นเกราะเซรามิกSAPI(Small Arms Protective Insert)ซึ่งมีน้ำหนักตั้งแต่1ถึง2.5..(ขนาดXS,S,M,LและXLตามขนาดตัวผู้ใช้งาน) หน้าและหลังอย่างละแผ่น รวมทั้งเกราะอ่อนและเกราะย่อยป้องกันลำตัว บุภายในด้วยผ้าตาข่ายเพื่อระบายความร้อนและความชื้น ในบทความเรื่อง"เกราะกันกระสุน"ในฉบับก่อนนั้นCIRASสามารถใช้กับเกราะอ่อนและแผ่นเกราะเซรามิกได้ถึงlevel4 จากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ของนาวิกโยธินสหรัฐฯตกในทะเลเมื่อปี1999แล้วทหารเสียชีวิตทั้งลำเพราะถอดเกราะไม่ทัน แล้วถูกน้ำหนักของมันพร้อมเครื่องกระสุนถ่วงจนจมน้ำตาย ทำให้เกิดความตื่นตัวในการออกแบบเน้นความปลอดภัยจากการถอดอันรวดเร็ว
เมื่อพัฒนาการไม่มีที่สิ้นสุด เสื้อเกราะจึงถูกพัฒนาต่อมาอย่างไม่หยุดยั้งทั้งในภาครัฐและเอกชน ถ้าทหารไม่มั่นใจในคุณภาพของอุปกรณ์ที่กองทัพแจกให้ก็สามารถซื้อเสื้อเกราะได้จากผู้ผลิตใหญ่ๆอาทิ 5.11,Eagle Industries,BlackHawk,First Spearและแบรนด์อื่นๆที่มีเทคโนโลยีในการออกแบบและผลิตอันเป็นเอกลักษณ์


คุณประโยชน์ของเสื้อเกราะคือช่วยยึดแผ่นเกราะให้อยู่ในที่ในทางของมัน เป็นเสมือนฐาน(platform)ให้ติดอุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็น เป็นเครื่องกระจายน้ำหนักสัมภาระที่ทหารนำติดตัวออกสู้รบ เป็นสิ่งที่ทหารต้องมีเมื่อออกปฏิบัติการไม่ว่าจะเป็นช่วงสั้นๆหรือยืดเยื้อโดยเฉพาะการรบในเมืองที่อันตรายมีอยู่ทุกมิติ ไม่ใช่เพียงแค่ในแนวราบ แม้แต่จากเบื้องบนและใต้พื้นที่เดินอยู่ทหารก็อาจเป็นอันตรายได้
ระบบเคเบิลปลดเร็วแบบCIRASถูกนำไปดัดแปลงใช้ในเสื้อเกราะหลายรูปแบบและแบรนด์ มันดูเหมือนจะเป็นคำตอบแต่ปัญหาคือเมื่อดึงปลดแล้วเสื้อจะแยกเป็นชิ้นๆประกอบกลับมาใช้งานใหม่ได้ยาก เสียเวลามาก น้ำหนักโดยรวมของตัวเสื้อก็มากเพราะใช้ผ้าหนาเท่ากันหมด ไม่เลือกตำแหน่งว่าตรงไหนต้องใช้ผ้าหนาเพราะต้องครูดไปกับภูมิประเทศ หรือตรงไหนควรใช้ผ้าบางลงเพราะไม่ต้องรับภาระหนักเท่า ระบบยึดติดของกระเป๋าเข้ากับMOLLEก็ยังใช้แถบผ้าไนลอนเสริมพลาสติกและแป็บเหล็กมีน้ำหนักรวมมาก จะเป็นไปได้หรือไม่หากเสื้อเกราะนั้นจะแยกตัวและประกอบเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว แม่นยำ ใช้ระบบยึดกระเป๋าที่ลดน้ำหนักได้ ใช้งานง่ายกว่า ที่ดีกว่านั้นคือประกอบและถอดแผ่นเกราะได้เร็วตามภารกิจเพื่อให้ทหารไม่ต้องแบกรับน้ำหนักมากๆโดยไม่จำเป็นในภารกิจที่แตกต่าง
First Spearแห่งสหรัฐฯคือผู้ผลิตอุปกรณ์ทางยุทธวิธีที่เน้นเทคโนโลยีและการออกแบบลึกในรายละเอียด เสื้อเกราะและเสื้อกั๊กยุทธวิธีในแบบต่างๆจะใช้ผ้าเนื้อหนาไม่เท่ากันตามลักษณะของการใช้งาน บริเวณห่อหุ้มที่ไม่ต้องรับน้ำหนักจะใช้ผ้าบางแต่เหนียวเพื่อลดน้ำหนักเช่นที่ตัวเสื้อด้านใน แต่จะหนาขึ้นคือตั้งแต่600ถึง1,000ดีเนียร์ในส่วนห่อหุ้มด้านนอก แถบผ้าชิ้นหนาส่วนที่เป็นMOLLEจะหายไป เหลือแต่เปลือกเกราะเรียบๆมีรอยกรีดเป็นช่องด้วยเลเซอร์เพื่อกันลุ่ยเป็นระยะ ให้สอดกระเป๋าซองกระสุนสำรองฯลฯมีแถบติดเวลโครด้านหลัง เข้าไปล็อคไว้ด้านในแทนแถบเสริมพลาสติกติดแป็บเหล็กแบบเดิม ลดน้ำหนักรวมลงได้40เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเสื้อเกราะOTVหรือCIRASที่เคยใช้กันอยู่
ส่วนปัญหาการถอดและประกอบนั้นเฟิร์สต์ สเปียร์แก้ด้วยTube Technologyในรูปแบบที่ง่ายคือใช้ตัวล็อคผลิตจากโพลิเมอร์เป็นปลอกทรงกระบอกและเดือยแท่งที่ดึงออกแล้วประกอบเข้าด้วยกันได้ง่ายๆโดยแทบไม่ต้องมอง ดีกว่าใช้ผ้าแถบเวลโครตรงที่มันไม่พรั่นต่อดิน,ทรายและฝุ่น ที่จะเข้าไปแทรกตัวอยู่ระหว่างผิวที่เป็นห่วงและตะขอจนเกาะกันไม่ติด สลักเดือยทรงกระบอกนี้นอกจากจะช่วยให้ถอดและประกอบชุดเสื้อเกราะได้รวดเร็วแล้ว ยังไม่ต้องดึงเสื้อออกทางศีรษะซึ่งจะไปปัดหน้ากากแก๊ซ/เคมี/ชีวภาพออกโดยบังเอิญด้วย ในกรณีต้องทำสงครามเคมี/ชีวภาพ ไม่ซับซ้อนตามหลักของอุปกรณ์สนามที่ว่า"ต้องทำให้ง่าย ให้โง่เข้าไว้"(Keep It Simple,Stupid:KISS) แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงประสิทธิภาพไว้ได้เต็มร้อย
จากเรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมา คาดว่าท่านที่สนใจและเป็นผู้ปฏิบัติซึ่งต้องคลุกคลีกับเกราะและเสื้อ คงได้เข้าใจและเห็นความสำคัญของเครื่องป้องกันร่างกายนี้ว่ามันมีรายละเอียดมากกว่าที่คิด เช่นตัวแผ่นเกราะต้องถูกทดสอบและหน่วยงานที่เชื่อถือได้ต้องรับรอง ส่วนเครื่องห่อหุ้มหรือ"เสื้อ"ก็ต้องมีคุณสมบัติเอื้อต่อการใช้งานสนามด้วย เช่นเบา ติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆได้หลายตำแหน่ง ช่วงไหล่เสื้อหลบพานท้ายปืนให้เข้าร่องไหล่ผู้ยิงได้พอดีไม่เลื่อนเลยไปเมื่อปืนถีบฯลฯ
ตราบใดที่การต่อสู้ยังคงมีอยู่ในรูปแบบต่างๆ เครื่องป้องกันก็ยังต้องพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆไม่หยุดยั้ง ทั้งเพื่อตอบสนองความต้องการของกำลังพลและเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดสินค้าทางยุทธวิธี

แล้วกองทัพของเราล่ะ ถึงเวลาเลิกใช้สายเก่งประกอบเข็มขัดสนามและกระติกน้ำแล้วหรือยัง?

เกราะกันกระสุน



โดยสรศักดิ์ สุบงกช
sosak@me.com
ในการสู้รบให้ชนะนั้นองค์ประกอบส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้ยุทธวิธีที่เหนือกว่าคือการช่วงชิงความได้เปรียบ อันตีความหมายได้ตั้งแต่ชัยภูมิที่ดีกว่าลงมาถึงกำลังพลที่พร้อมกว่า ซึ่งความพร้อมส่วนใหญ่เกิดความความมั่นใจเมื่อฝึกฝนมาดี มีอาวุธเหนือกว่า แต่ส่วนหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือทหารต้องมั่นใจด้วยว่าตนเองมีเครื่องป้องกันเพียงพอ และความคิดนี้เองคือที่มาของเกราะ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเกราะ แผ่นเกราะ โล่และเครื่องป้องกันอื่นๆที่เราทำขึ้นใช้ตั้งแต่เพิ่งรู้จักการประหัตประหารกันเองเมื่อหลายพันปีก่อน เมื่ออาวุธถูกพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น อำนาจทะลุทะลวงสูงขึ้น เกราะก็ต้องพัฒนาตัวเองตามให้ทันกันด้วยวัสดุต่างๆตั้งแต่แผ่นเหล็กกล้ามาถึงเคฟลาร์และเซรามิกในปัจจุบัน
สหรัฐฯคือประเทศใหญ่ที่ยึดเสรีภาพเป็นที่ตั้ง แต่บางครั้งก็เสรีกันจนเกินขอบเขตจนเลยเถิดเกิดเหตุล้มตายกันอย่างไร้เหตุผล เหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งหนึ่งที่เป็นข่าวไปทั่วโลกคือ"การล้อมปราบในฮอลลีวูดเหนือ"(North Hollywood Shootout)เมื่อปี1997เมื่อเพื่อนสนิทสองคนคือลาร์รี่ ฟิลลิปส์ จูเนียร์กับเอมิล มาตาซาเรนูได้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงขึ้น ด้วยการควงอาวุธสงครามทั้งปืนเล็กยาวและปืนพกเข้าปล้นธนาคารแห่งอเมริกาในเขตนอร์ธ ฮอลลีวูด นครลอส แอนเจลิสเมื่อวันที่28กุมภาพันธ์ ทั้งคู่เตรียมการกันมาอย่างดีด้วยการจัดหาอาวุธสงครามมาทั้งปืนเล็กยาวเอเค47 (อาก้า),เอชเค33,ปืนพกกึ่งอัตโนมัติเบเรตตา และกระสุนทั้งขนาด5.56และ7.62..รวมเกือบสี่พันนัด เหตุการณ์ครั้งนั้นจะจบลงเร็วกว่านี้และทั้งคู่อาจไม่ได้ใช้กระสุนถึงสองพันนัดตามที่เป็นข่าว ถ้าทั้งลาร์รี่และเอมิลไม่สวมเกราะกันกระสุนคลุมทั้งตัวจนถึงโคนขา

เรื่องมาจบเอาเมื่อลาร์รี่ตัดสินใจยิงตัวเองตายเสียก่อนเมื่อจวนตัวเมื่อปืนอาก้าของเขาขัดลำกล้อง แต่ไม่สามารถดึงคันรั้งลูกเลื่อนคัดปลอกได้เพราะมือถูกยิง ส่วนเอมิลที่รอดและพยายามชิงรถหนีก็พาตัวเองไปได้ไม่ไกล เขาถูกยิงที่ลำตัวซึ่งถูกปกคลุมด้วยเกราะหลายนัดแต่ไม่ระคายผิว มาเสียท่าเอาเมื่อถูกหน่วยสวาทยิงลอดใต้ท้องรถเข้าที่ขาจนทรุดแล้วถูกยิงซ้ำในจุดอ่อนต่างๆก่อนจะถูกรวบ แต่ก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวจนสิ้นใจตายตกไปตามกัน ผลจากการยิงกันสนั่นเมืองครั้งนั้นคือนอกจากโจรทั้งคู่จะเสียชีวิตในที่เกิดเหตุแล้วยังทำให้ตำรวจ11นายกับพลเรือนอีก7คน ต้องบาดเจ็บทั้งสาหัสและเล็กน้อยตามไปด้วย ทั้งนี้ยังไม่รวมยวดยานและทรัพย์สินในบริเวณที่ต้องพรุนไปด้วยอำนาจของกระสุนรวม2,000นัด!
เหตุการณ์บานปลายและยืดเยื้อได้เป็นชั่วโมงก็เพราะคำๆเดียวคือ"เกราะ"
เกราะที่โจรทั้งคู่สวมนั้นเป็นเกราะกันกระสุนที่กันได้ตั้งแต่กระสุนปืน.22ลูกกรดไปจนถึง7.62มาตรฐานนาโตซึ่งมีใช้ทั้งในปืนอาก้าของรัสเซียและปืนเล็กยาวเอ็ม14กับปืนกลประจำหมู่เอ็ม60ของสหรัฐฯ เพราะลาร์รี่กับเอมิลสวมเกราะกันกระสุนทั้งคู่จึงมั่นใจยืนรับกระสุนปืนพกจากตำรวจนครบาลลอส แอนเจลิสอยู่ได้เป็นชั่วโมง สามารถสาดกระสุนใส่ฝ่ายจับกุมได้แบบไม่กลัวเปลือง นี่คือตัวอย่างอันเด่นชัดที่สุดของประสิทธิภาพแห่งเกราะเคฟลาร์(ชื่อทางการค้าของบริษัทดูป็องต์ ซึ่งแท้จริงแล้วสร้างจากเส้นใยอารามิด(Aramid)บดอัดด้วยแรงดันและความร้อนสูง) ผมยกตัวอย่างสองโจรแห่งนอร์ธ ฮอลลีวูดก็เพราะมันชัดเจน ทุกท่านที่อ่านบทความนี้สามารถเข้าไปดูการดวลกันสดๆได้ที่www.youtube.comด้วยการป้อนคำว่า North Hollywood Shootoutลงไปแล้วทุกสิ่งก็จะประจักษ์แก่ตาของท่านเอง
ในโลกปัจจุบันนี้ที่ การสงครามได้เปลี่ยนรูปแบบจากการตั้งกระบวนทัพเรียงหน้าชนเหมือนในสมัยสงครามโลกครั้งที่1-2มาเป็นสงครามยาเสพติด,สงครามต่อต้านการก่อการร้ายไร้แนวรบ จากการยิงกันในระยะ300-1,000เมตรลดลงมาเหลือใกล้ๆแค่10-30เมตรในรูปแบบของการสู้รบระยะประชิด(Close Quarters Battle:CQB) บางครั้งก็ต้องเคลียร์อาคารกันแบบหลังต่อหลัง เครื่องช่วยเล็งจึงต้องปรับตามจากศูนย์เปิดธรรมดาของปืนเล็กยาวมาเป็นศูนย์จุดแดง(red dot)ที่เพียงทาบจุดเข้ากับเป้าก็สามารถยิงได้ เร็วกว่าศูนย์เปิดซึ่งต้องเรียงทั้งสามจุดให้เป็นแนวเดียวกันทั้งเป้า-ศูนย์หน้า-ศูนย์หลัง ที่สำคัญคือผู้อยู่ในสถานการณ์สู้รบแบบCQBต้องสวมเกราะกันกระสุน ทั้งเพื่อความปลอดภัยและเพื่อบรรเทาความบาดเจ็บ
ตำแหน่งของร่างกายมนุษย์ที่สำคัญที่สุดคือบริเวณลำตัวและช่องท้องทั้งหมด จะถูกป้องกันไว้ด้วยเกราะที่หนาที่สุด เกราะในส่วนนี้มีให้เลือกได้ทั้งแบบที่บางพอจะสวมเสื้อผ้าทับได้ไปจนถึงแบบเป็นแผ่นที่จะสอดไว้ในเสื้อเกราะ(plate carrier) โดยเกราะแบบแรกนั้นถูกสร้างขึ้นจากเคฟลาร์เป็นส่วนใหญ่เพื่อให้กันกระสุนได้ในระดับปืนพก ตั้งแต่.22ถึง11.. สวมซ่อนไว้ภายในเครื่องแบบเพื่อไม่ให้เป็นพิรุธ หรือทำเป็นเสื้อกั๊กไว้ด้านนอกก็ได้ผู้ใช้เกราะอ่อนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามอื่นที่มีโอกาสสู้รบอย่างเต็มรูปแบบได้น้อย


ส่วนอย่างหลังที่เป็นแผ่นเกราะนั้นจะติดตัวผู้ใช้ได้วิธีเดียวคือต้องใช้เสื้อเกราะซึ่งปัจจุบันนี้ออกแบบให้เป็นแบบแยกส่วน(modular) ซึ่งมีช่องให้สอดแผ่นเกราะได้รอบตัวรวมทั้งภายนอกยังทำเป็นช่องไว้ประกอบซองกระสุนสำรอง และอุปกรณ์อื่นๆเช่นระเบิดสังหาร,ระเบิดแสง,สายรัดข้อมือฯลฯ ตามแต่ภารกิจ ผู้ใช้เกราะชนิดนี้จึงต้องเป็นทหารหรือกองกำลังที่เน้นการสู้รบด้วยอาวุธสงคราม ผ่านการฝึกฝนมาแล้วอย่างเข้มข้น
นอกจากลำตัวซึ่งเป็นพื้นที่ใหญ่ถูกยิงง่าย เกราะยังครอบคลุมไปถึงศีรษะซึ่งมีโอกาสถูกยิงได้เช่นกันถ้าฝ่ายตรงข้ามเล็งแม่นพอ ปัจจุบันนี้ในเมื่อยังไม่พบวัสดุใดที่จะทนอำนาจการทะลุทะลวงจากกระสุนได้ดีเท่าเคฟลาร์ มันก็ยังคงเป็นที่พึ่งของกองทัพทั่วโลก หมวกนิรภัยAdvance Combat Helmet(ACH)ของกองทัพสหรัฐฯที่สร้างจากเคฟลาร์นั้นสามารถทนกระสุนปืนพก11..ได้ในระยะ5เมตรขึ้นไป กระสุนปืนเล็กยาวขนาด5.56หรือ7.62อาจทำอันตรายให้ผู้สวมได้เช่นกันถ้ายิงเข้าแนวตั้งฉาก แต่ถ้าแฉลบก็ต้องถือว่าโชคดี นอกจากเคฟลาร์จะถูกนำมาสร้างเกราะป้องกันลำตัวกับศีรษะแล้วมันยังเลยไปถึงบริเวณสำคัญคือโคนขาและอวัยวะเพศ โดยเฉพาะที่โคนขาซึ่งมีเส้นเลือดใหญ่แล่นผ่านนั้นหากถูกยิงตัดเส้นเลือดทหารอาจตายได้เพราะเลือดไหลไม่หยุด ไม่ต่างจากถูกตัดเส้นเลือดใหญ่ที่ลำคอ
เพื่อให้เกราะกันกระสุนทั่วโลกเป็นมาตรฐานเดียวกัน และหน่วยงานสามารถเลือกใช้เกราะได้เหมาะสมกับภารกิจ สถาบันวิจัยแห่งกระทรวงยุติธรรมแห่งชาติ(National Institute of Justice:NIJ) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนาสังกัดกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ จึงได้วางมาตรฐานด้านเกราะกันกระสุนขึ้นเป็นระดับ(level) ไม่ว่าเกราะนั้นจะสร้างจากผ้าไหม,เส้นใยอารามิดหรือเซรามิกก็ตาม ต้องป้องกันกระสุนได้ตามระดับที่NIJกำหนดดังนี้
เกราะอ่อน:
level 1 -ป้องกันกระสุนขนาด.22LRและ.380ACP
level 2A -ป้องกันกระสุนขนาด9..,.40 S&Wและ.45 ACP
level 2 -ป้องกันกระสุนขนาด9..SIGและ.44Magnum
แผ่นเกราะ
level 3 -ป้องกันกระสุน7.62..(NATO),.308 Winchesterได้รวม6นัดสูงสุดร่วมกับเกราะอ่อน
level 3+ -ป้องกันกระสุน 7.62..(NATO),.308 Winchester ได้รวม6นัดสูงสุดโดยไม่ต้องเสริมเกราะอ่อน
level 4 -ป้องกันกระสุนเจาะเกราะขนาด.30-06 Springfield ได้นัดเดียวเมื่อไม่เสริมเกราะอ่อน
จากข้อสรุปของNIJอันเกิดจากการทดลองที่ได้มาตรฐาน ข้อสังเกตที่ผู้ใช้เกราะต้องระวังให้ดีคือแผ่นเกราะใดๆก็ตามไม่สามารถป้องกันกระสุนทำอันตรายต่อตัวท่านได้100เปอร์เซ็นต์ การเลือกใช้แผ่นเกราะเพียงเพราะคิดว่ามันเป็น"เกราะกันกระสุน"โดยไม่ศึกษาข้อกำหนดและขีดจำกัดให้ถ่องแท้จะทำให้ท่านเป็นอันตรายได้ เช่นแผ่นเกราะ(ไม่ว่ามันจะสร้างจากเซรามิกหรือเคฟลาร์)ในlevel3 สามารถป้องกันกระสุนปืนอาก้าและ.308วินเชสเตอร์ได้เพียง6นัดเท่านั้น และต้องสวมในเสื้อเกราะทับแผ่นเกราะอ่อนด้วย(ผมจะกล่าวถึงเสื้อเกราะและอุปกรณ์ทางยุทธวิธีในตอนต่อไป) เพราะคมกระสุนและความเร็วประกอบกับมวลของมันจะทะลุทะลวงแผ่นเกราะเข้ามาได้ในระดับหนึ่ง ก่อนจะถูกกระจายแรงไปด้วยแผ่นเกราะอ่อน ถ้าไม่มีแผ่นเกราะอ่อนช่วยกระจายแรงผู้ใช้เกราะอาจจะบาดเจ็บสาหัสได้แม้ไม่ตายก็ตาม
การใช้เกราะในlevel3ออกปราบปรามโดยไม่มีเกราะอ่อนเสริมหลัง จะแทบไม่ต่างจากการเอาเนื้อสดๆไปให้กระสุนเจาะเล่นเลย โดยเฉพาะถ้าฝ่ายตรงข้ามใช้อาก้าซึ่งยิงกระสุน7.62..สวนมา ส่วนที่รับกระสุนได้ไม่เกิน6นัดสูงสุดนั้นก็เพราะแรงกระแทกและทะลุทะลวงจะทำให้เนื้อเกราะเสื่อมสภาพไม่สามารถป้องกันกระสุนได้อีก และเมื่อถูกยิงแม้เพียงนัดเดียวหากจะออกปฏิบัติหน้าที่อีกก็ต้องเปลี่ยนแผ่นเกราะเอาแผ่นใหม่ใส่แล้วทิ้งเกราะเก่าไปเลย แผ่นเกราะในlevel3+ก็เช่นกัน แม้ว่าตามข้อกำหนดบอกไว้ว่าสามารถป้องกันกระสุนอาก้าได้ตามลำพังไม่ต้องเสริมเกราะอ่อน แต่ถ้าหาเกราะอ่อนเสริมหลังได้ก็น่าจะดีกว่าเข้าทำนอง"กันไว้ดีกว่าแก้" ความคิดนี้ยังรวมไปถึงแผ่นเกราะในlevel4ด้วย
ด้วยรูปแบบของการรบในเมืองและCQBที่กลายเป็นหลักนิยมของการทำสงครามทั่วโลก เสื้อเกราะและแผ่นเกราะกันกระสุนจึงได้กลายเป็นอุปกรณ์ทางยุทธวิธีอันสำคัญยิ่ง เพื่อช่วยเสริมทั้งขวัญกำลังใจและรักษาชีวิตทหารไว้ การจัดหาเกราะกันกระสุนและอุปกรณ์ทางยุทธวิธีที่ดี สามารถเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ได้จริงจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า การที่กองทัพจัดหาเกราะดีๆได้มาตรฐานสักชุดให้ทหาร ฝึกฝนให้ใช้มันเป็น ตระหนักถึงความสำคัญของเกราะ เลือกใช้เกราะได้เหมาะสมกับภารกิจ ถึงแม้มันอาจจะดูเหมือนแพงแต่ก็ยังถูกมากๆเมื่อเทียบกับงบประมาณที่ต้องเสียไป เพื่อดูแลคนพิการหรือจิตใจของคนอีกหลายคนที่ต้องสลายจากความสูญเสีย

และเป็นสิ่งที่กองทัพในชาติที่เจริญแล้วเขาปฏิบัติกัน