วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

U.SMarineกับ U.S Navy SEAL คนละเรื่อง คนละเหล่า



สหรัฐฯเป็นชาติที่เพิ่งก่อตั้งมาได้200กว่าปีซึ่งจะว่าเป็นชาติใหม่ก็ได้ แต่ด้วยการที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนมาตั้งแต่ช่วงเวลาแห่งการสร้างชาติ สหรัฐฯจึงมีวัฒนธรรมด้านการทหารที่แข็ง แม้ปัจจุบันจะเปลี่ยนจากการสร้างชาติมาเป็นเพื่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติหรือบางครั้งก็รุกรานช่วงชิงทรัพยากรเอาดื้อๆ แต่การได้เป็นทหารในเหล่าใดเหล่าหนึ่งของสหรัฐฯก็ยังเป็นความภาคภูมิใจ เป็นสิ่งที่นำมาเอ่ยได้เต็มปากว่า"ผม/ดิฉัน เป็นทหารอเมริกัน"

ปัจจุบันนี้กองทัพของสหรัฐฯมีอยู่4เหล่า(corpอ่านว่า คอร์) คือกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศและนาวิกโยธิน ซึ่งแต่ละเหล่าจะมีการทำงานขึ้นตรงต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถึงแม้ว่ากองทัพไทยจะมีรูปแบบการจัดการกำลังพลคล้ายสหรัฐฯก็ใช่ว่าเราจะเหมือนกับเขาไปเสียทุกอย่าง ในขณะที่เรามีทหาร3เหล่าทัพแต่อเมริกามี4และเหล่าที่เราไม่แยกออกไปก็คือนาวิกโยธิน

นาวิกโยธินได้ถือกำเนิดขึ้นมาในสมัยของประธานาธิบดีโธมัส เจฟเฟอร์สัน ประธานาธิบดีคนที่3ของสหรัฐฯ เมื่อครั้งที่สหรัฐฯส่งกองเรือไปค้าขายบริเวณบาร์บารี โคสต์ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศแถบอาฟริกาเหนือ ก่อนหน้านั้นอเมริกาถูกรังควานจากกองเรือสลัดของลิเบียอยู่บ่อยๆแต่ก็ยอมจ่ายค่าไถ่สินค้าแต่โดยดี จนกระทั่งถึงยุคของเจฟเฟอร์สันที่ต้องร้องขอต่อสภาคองเกรสว่าต้องส่งทหารไปปราบ เหล่านาวิกโยธินจึงเกิดขึ้นในช่วงนั้นด้วยวิธีง่ายๆคือเอาทหารราบขึ้นเรือไปให้ถึงที่หมาย ลงจากเรือมาสถาปนาที่มั่นให้ได้แล้วค่อยรบต่อเข้าไปในแผ่นดิน วีรกรรมแรกคือการบุกยึดกรุงทริโปลีได้แล้วต่อจากนั้นอเมริกาก็ไม่ต้องจ่ายค่าไถ่กับสลัดมุสลิมอีก ผลพวงที่ทำให้นาวิกฯเป็นที่รู้จักมาถึงทุกวันนี้ก็คือการเอาแผ่นหนังหุ้มคอเสื้อให้พ้นคมดาบซิมิทาร์ของโจรมุสลิม

นาวิกฯมีบทบาทต่อมาอีกมากทั้งในสงครามโลกครั้งที่1สงครามโลกครั้งที่2 สงครามเวียตนามและในการรุกรานชาติอื่นอีกหลายครั้ง ถึงกาลเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานนาวิกฯก็ยังรบแบบเดิม คือนำกำลังพลพร้อมยุทโธปกรณ์ไปกับกองเรือของกองทัพเรือ ยกพลขึ้นบกหรือเข้าถึงที่หมายด้วยเฮลิคอปเตอร์(หรือยานพาหนะแบบใดแบบหนึ่ง) สถาปนาที่มั่นขึ้นแล้วรบหรือไม่ก็ยึดพื้นที่ตรึงกำลังไว้ แม้ว่าจะต้องอาศัยกำลังทางเรือเพื่อเคลื่อนพลแต่นาวิกฯก็ไม่ใช่ทหารเรือ นาวิกฯก็คือนาวิกฯ กองกำลังขนาดเล็กที่มีขีดความสามารถรบได้ทั้ง3มิติ นาวิกฯสหรัฐฯจึงมียุทโธปกรณ์ครบทั้งแบบทหารราบคือรถถัง,รถสายพานลำเลียงพล แบบทหารอากาศคือเครื่องบินขับไล่และเครื่องบินแบบต่างๆที่ขึ้น/ลงบนเรือบรรทุกเครื่องบินได้ จะต้องตั้งกองเรือใหม่เพื่อนาวิกฯทำไมเล่าในเมื่อกองทัพเรือก็มีขีดความสามารถในการเคลื่อนย้ายพออยู่แล้ว?

เพราะนาวิกฯมีต้นกำเนิดที่ไม่ได้เก่าแก่น้อยกว่าเหล่าทัพไหนของสหรัฐฯ เหล่าทัพนี้จึงมีวัฒนธรรมของตนเองทั้งเรื่องศัพท์แสง เหรียญตรา เครื่องแบบและชั้นยศ

สังเกตให้ดีจะพบกองทัพสหรัฐฯมีระบบบอกชั้นยศที่ดูง่ายมาก การติดเครื่องหมายยศจะเหมือนกันทั้งทัพบก,ทัพเรือ,ทัพอากาศและนาวิกฯ ถึงจะประดับเครื่องหมายชั้นยศเหมือนกันแต่ก็มีวิธีเขียนบอก ตัวอย่างเช่นเครื่องหมายนกอินทรีจับลูกธนูที่แสดงยศพันเอกของทหารบกหรือcolonel(เคอร์เนิ่ล)นั้น นาวิกก็เรียกนายพันเอกของตนว่าเคอร์เนิ่ลเหมือนกัน แต่มีตัวย่อแสดงเหล่าตามท้ายด้วย คือcolonel.USMC(เคอร์เนิ่ล ยูไนเต็ด สเตท มะรีน คอร์) เพื่อบอกให้รู้ว่ามาจากเหล่านาวิกฯไม่ใช่ทหารบก การเรียกชั้นยศของนาวิกฯของสหรัฐฯจะเป็นไปตามกองทัพบกทุกอย่าง แต่ต้องมีUSMCต่อท้ายเพื่อบอกให้รู้ว่าไม่ใช่ทหารบก หากบุคคลใดเป็นนาวิกฯยศร้อยโท ก็ต้องเขียนชื่อว่าLieutenant(ลิวเทแนนท์)ชื่อ....... นามสกุล .....USMC จะไปใช้เรือโทเหมือนกองทัพเรือไม่ได้

ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวแล้วว่าเหล่านาวิกฯของสหรัฐฯแยกออกเป็นเอกเทศ ไม่ได้สังกัดกองทัพเรือเหมือนไทย ถ้าบุคคลใดเป็นนาวิกฯบุคคลนั้นก็ต้องใช้ชั้นยศแบบนาวิกฯคือเรียกแบบทหารบกแล้วมีUSMCต่อท้าย เป็นนาวิกฯสหรัฐแล้วเที่ยวบอกใครๆว่ามียศเรือโทจึงเป็นเรื่องแอบอ้าง หากจะเป็นเรือโทก็ต้องเป็นทหารเรือแล้วเรียกยศนำหน้าชื่อว่าLieutenantชื่อ..... นามสกุล USN (US.Navyกองทัพเรือสหรัฐฯ)ในส่วนที่ชั้นยศต่างเหล่าแต่เรียกเหมือนกัน ทหารบกและนาวิกฯจะใช้คำว่าlieutenantกับยศร้อยโทและร้อยโทนาวิกฯ ทหารเรือก็ใช้lieutenantเหมือนกันแต่เมื่อไม่ได้ใส่ตัวย่อJG(Junior Grade)ยศLieutenantของทหารเรือจะเป็นเรือเอก สูงกว่าLieutenantของกองทัพบกและนาวิกฯไปหนึ่งขั้น และเพื่อไม่ให้ไขว้เขวว่าเป็นยศของเหล่าทัพอื่นก็จะมีUSNต่อท้าย ทำนองเดียวกับยศเรือเอกของเราคือรอ.ชื่อ...... นามสกุล รน.(ราชนาวี)

นอกจากชั้นยศแล้วนาวิกฯยังมีเครื่องแบบเป็นของตัวเองทั้งเครื่องแบบปกติ เครื่องแบบงานพิธี ราตรีสโมสรซึ่งมีสีสันจากเหล่าทัพอื่นๆรวมกันคือแดง น้ำเงิน ขาว ซึ่งจะปรากฎสีสันนี้อยู่ในเครื่องแบบชุดงานพิธี แต่ที่น่าสังเกตคือนาวิกฯจะไม่มีเครื่องแบบสีขาวล้วนปกติคอแบะและขาวใหญ่ห้อยกระบี่ประดับเหรียญตราเหมือนกองทัพเรือ ถึงก่อนปี2000จะมีชุดขาวและขาวใหญ่แต่เมื่อถึงปี2000เหล่านาวิกฯก็ยกเลิกเครื่องแบบขาวล้วนทุกชนิด เพื่อให้เกิดความแตกต่างชัดเจนจากกองทัพเรือ เหลือแต่กางเกงขาวเสื้อทูนิคสีน้ำเงินขริบแดงเพื่อใช้ในงานพิธีต่างๆ นอกเหนือจากนั้นแล้วจะไม่มีนาวิกฯที่ไหนแต่งกายชุดขาวล้วน นอกจากเครื่องแบบสนามลายพรางแล้วนาวิกฯจะสวมชุดกางเกงขาวเสื้อทูนิคสีน้ำเงินขริบแดงในงานพิธี ชุดราตรีสโมสรกางเกงน้ำเงินแถบทองกับเสื้อทูนิคสีน้ำเงินขริบแดง และชุดปกติกางเกงสีเขียวเข้มเสื้อคอแบะสีกากีปฏิบัติงานในที่ตั้งปกติเท่านั้น

เราต้องนำเสนอเรื่องนี้เพราะรำคาญใจ ที่มีชายไทยชื่อนายชวินทร์พล จำปานันท์แอบอ้างว่าเคยเป็นทหารสหรัฐฯมาก่อนเที่ยวตระเวนสอนยุทธวิธีตามหน่วยทหารและตำรวจต่างๆ สิ่งที่เขาพูดทุกสิ่งนั้นแสดงออกถึงความไม่ปกติทางจิตใจ วกไปวนมา เคยโกหกแล้วลืมแล้วก็สร้างเรื่องโกหกขึ้นมาใหม่ ถึงจะไม่ได้เรียกร้องสินไหมใดๆในการเข้าไปสอนหรือสาธิต แต่ความเสียหายจากการปฏิบัติตามการสอนอย่างผิดๆได้เกิดขึ้นแล้วแก่กำลังพลของเรา เราจึงขอสรุปทั้งเรื่องยศ,เครื่องแต่งกายและเครื่องหมายต่างๆไว้เป็นข้อๆดังนี้


  1. เราเชื่อว่านายชวินทร์พลเคยเป็นนาวิกโยธินสหรัฐฯจริงๆ แต่ไม่ใช่ทหารหน่วยSEALของกองทัพเรือตามที่เคยแอบอ้างในรายการของสำนักข่าวสปริงนิวส์

  2. จะเป็นนายทหารสัญญาบัตรจริงหรือไม่ การใช้ยศว่าเรือโทจึงผิดเพราะเป็นนาวิกฯ และแยกเหล่าจากกองทัพเรือชัดเจน ต่างจากนาวิกฯของไทย ต้องใช้ยศเหมือนทหารบก ตามด้วยอักษรย่อUSMC

  3. นายชวินทร์พลไม่มีสิทธิ์แต่งเครื่องแบบสีขาวใหญ่ประดับเหรียญตราและขาวน้อยติดแถบแพรกับเข็มไทรเดนต์ของกองทัพเรือ เพราะไม่ใช่ทหารเรือ

  4. ถ้าจะอ้างว่าเป็นนาวิกฯ ก็ไม่มีสิทธิ์แต่งเครื่องแบบขาวใหญ่ประดับเหรียญตราเพราะนาวิกฯไม่มีเครื่องแบบสีขาวล้วน

  5. การอ้างว่าเคยไปปฏิบัติงานกับSEALแล้วได้เข็มไทรเดนต์มา(Trident)ประดับเครื่องแบบเป็นเรื่องเท็จ ผู้สำเร็จการฝึกจากSEALและต้องเป็นทหารในหน่วยSEALเท่านั้นจึงมีสิทธิ์ประดับเข็มไทรเดนต์ได้ ที่อเมริกาไม่มีระบบกิติมศักดิ์เหมือนไทย เป็นนาวิกฯไปสนธิกำลังกับSEALต่อให้ช่วยชีวิตSEALไว้ได้กี่คนก็ไม่มีสิทธิ์ประดับเข็มไทรเดนต์

  6. เป็นนาวิกฯต้องใช้ยศตามระเบียบของนาวิกฯ ใช้ยศแบบทหารเรือไม่ได้ตามเหตุผลข้อ2


ทั้งหมดนี้คือข้อเขียนซึ่งน่าจะทำให้ผู้ไม่เข้าใจได้เข้าใจอะไรขึ้นบ้าง หลังจากได้เห็นทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวการสาธิตการใช้อาวุธและจากข่าวที่ปรากฎทางหน้าหนังสือพิมพ์ ที่น่าเสียใจคือหน่วยงานของรัฐที่ได้รับความเสียหายกลับไม่ใส่ใจ ยังคงปล่อยให้นายชวินทร์พลสวมเครื่องแบบทหารสหรัฐฯปลูกฝังความเชื่อผิดๆให้กับกำลังพล โดยคิดได้เพียงอย่างเดียวว่าเมื่อไม่ได้เรียกร้องผลประโยชน์ก็ไม่เสียหาย ทั้งที่ความเสียหายจากความเชื่อผิดๆนั้นมหาศาลไม่สามารถตีค่าออกมาเป็นเงินได้ ตอนนี้ความจริงได้ปรากฎแล้วแต่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังเพิกเฉย คงต้องถามกันล่ะว่าต้องให้ทหารของเราตายเพราะหลงเชื่อคนสติฟั่นเฟือนไปอีกกี่นายหน่วยงานที่รับผิดชอบถึงจะตื่นจากหลับไหลเสียที


วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Aimpoint นวัตกรรมเพื่อความแม่นยำ



ใครที่รู้จักปืนย่อมต้องรู้ว่าการเล็งให้ถูกเป้าต้องให้จุดสามจุดเรียงตัวเป็นเส้นตรง ยิ่งตรงก็ยิ่งมีโอกาสถูกเป้ามาก ไม่ว่าจะเป็นปืนเล็กยาวหรือปืนสั้นก็ใช้หลักการเดียวกันหมด ทั้งสามจุดนั้นประกอบด้วยเป้า ศูนย์หน้าและศูนย์หลัง การเล็งศูนย์เปิดปราศจากเครื่องช่วยใดๆนั้นถ้าจะว่ากันจริงๆแล้วค่อนข้างยาก ต้องใช้เวลา ยิ่งในยามคับขันแล้วการเล็งประณีตแทบเป็นไปไม่ได้เลย แม้จะจ้องให้ศูนย์หน้าและศูนย์หลังเป็นเส้นตรงเดียวกันแล้วก็ตาม เมื่อต้องเล็งอย่างเร่งด่วนเช่นในการรบระยะประชิด(CQB: Close Quarter Battle)โอกาสที่เป้าจะหลุดศูนย์ย่อมมีมาก ในเวลากลางวันที่แสงสว่างมีมากพอยังหลุดง่าย ยิ่งถ้าเป็นตอนกลางคืนคงไม่ต้องพูดถึงเพราะทั้งศูนย์และตัวเป้าคงจะกลืนกันไปกับความมืด ยิ่งทำให้เล็งได้ยากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่อเข้าอาคารซึ่งมีแสงน้อยกว่ากลางแจ้ง

เมื่อหลักนิยมในการรบและการรักษากฎหมายเปลี่ยนไป อะไรเล่าถึงจะเป็นตัวช่วยให้ผู้ใช้ปืนสามารถเล็งและยิงได้เร็วที่สุด? หลักการง่ายๆก็คือต้องทำให้ศูนย์เล็งเหลือแค่จุดเดียวซึ่งต้องเที่ยงตรง เมื่อมองจากมุมไหนๆก็ต้องไม่หลุดจากแนวระนาบ มันต้องสว่างให้เห็นได้ถนัดทั้งในสภาพมีแสงจ้าและแสงน้อย ที่สำคัญคือต้องไม่เปิดเผยตำแหน่งของผู้ใช้ปืน เมื่อจะใช้งานก็เพียงแค่เอาจุดนั้นไปทาบเป้าซึ่งจะลดเวลาการเล็งลงได้ถึง1ใน10 ทั้งยังเพิ่มอัตราการอยู่รอดได้ในช่วงเวลาคับขัน

โจทย์เหล่านี้ได้ถูกตอบแล้วโดยกลุ่มนักธุรกิจสวีดิชกลุ่มเล็กๆซึ่งนิยมการเข้าป่าล่าสัตว์ ซึ่งรวมตัวกันสร้างผลิตภัณฑ์ที่ในขณะนั้นยังไม่มีใครคิดในปี1974 ด้วยเป้าหมายง่ายๆคือสร้างเทคโนโลยีการเล็งปืนให้ผู้ใช้ปืนเล็งได้เร็ว สามารถล็อคเป้าเคลื่อนที่ได้ง่ายๆโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแสงใด

ผลก็คือการตั้งบริษัทเพื่อผลิตศูนย์เล็งจุดแดงAimpointขึ้นในเมืองมัลโมประเทศสวีเดน จากจุดเริ่มต้นเล็กๆนั้นได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่แตกรุ่นออกไปหลากหลายเพื่อใช้งานทั้งในกิจการทหารและพลเรือน โดยกลุ่มผู้ก่อตั้งช่วงแรกนั้นไม่เคยคาดคิดเลยว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นนวัตกรรมที่มาปฏิวัติระบบการเล็งปืนโดยสิ้นเชิง

ด้วยหลักการง่ายๆคือใช้เลนส์สะท้อนแสงจากหลอดไฟLEDขนาดเล็กมายังตาผู้เล็ง โดยมีควงปรับละเอียดทั้งแนวตั้งและแนวนอนให้ได้ศูนย์หลังจากการปรับศูนย์ครั้งแรกแล้ว คุณสมบัติที่ทำให้ศูนย์เล็งจุดแดงแตกต่างไปจากแสงเลเซอร์จุดแดงก็คือไม่มีจุดสีแดงทาบเป้าให้เห็น จุดแดงนั้นจะปรากฎอยู่ภายในกระบอกศูนย์เล็งวางตัวเป็นแนวเดียวกับศูนย์หน้าและหลังของปืนอยู่แล้ว เพียงแค่เบนจุดแดงไปทาบเป้าในช่วง5ถึง100เมตรซึ่งเป็นระยะที่การสู้รบมีโอกาสเกิดได้สูงสุด โดยเฉพาะเมื่อปฏิบัติการนั้นอยู่ในเขตเมือง(MOUT :Military Operation on Urban Terrain) การเล็งได้เร็วกว่าแม้เป็นเศษเสี้ยววินาทีย่อมหมายถึงอัตราการอยู่รอดย่อมสูงกว่า

ข้อได้เปรียบของเอมพอยท์เมื่อเทียบกับศูนย์เล็งอื่นๆ โดยเฉพาะที่เป็นระบบholographicคือมันกินไฟน้อยมาก น้อยอย่างแทบไม่น่าเชื่อ ศูนย์เล็งจุดแดงในซีรี่ส์M68รุ่นComp M3ได้กำลังไฟจากแบตเตอรี่AAก้อนเดียวสามารถเปิดทิ้งไว้ตลอดเวลาเป็นเวลา50,000ชั่วโมงหรือประมาณ5ปี และในรุ่นที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นคือComp M4นั้นยิ่งกินไฟน้อยกว่าคือเปิดต่อเนื่องได้นาน80,000ชั่วโมงหรือ8ปี จึงไม่ต้องห่วงว่าแบตเตอรี่จะหมดในยามคับขัน ถ้าใช้แล้วปิดสวิทช์ไม่เปิดต่อเนื่อง อายุของแบตเตอรี่จะยิ่งนานขึ้นไปอีก จะเรียกว่าใส่แบตเตอรี่ก้อนเดียวแล้วใช้งานจนลืมก็ยังได้

เทียบกับระบบโฮโลกราฟิกที่ดูผ่านๆเหมือนว่าจะไม่ต่างกันแล้ว ระบบACET(Advanced Circuit Efficiency Technology) ที่ใช้กับศูนย์เล็งของเอมพอยท์ถือว่าทิ้งกันไม่เห็นฝุ่น เพราะศูนย์เล็งระบบโฮโลกราฟิกใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ขนาดเท่ากันถึงสองก้อนแต่อยู่ได้นานแค่6ชั่วโมงต่อเนื่องเท่านั้น หมายความว่าหากลืมเปิดสวิทช์ไว้เพียงข้ามคืน วันรุ่งขึ้นก็ต้องหาแบตเตอรี่ใหม่มาใช้เพราะของเก่าไฟหมด

เพราะระบบการทำงานของเอมพอยท์ง่ายต่อการใช้งาน สว่างไสวให้ผู้เล็งปืนมองเห็นได้ชัดทั้งกลางป่าดงดิบเขตร้อนชื้น ในอาคารมืดทึบและกลางแดดสว่างจ้าของทะเลทรายแถบตะวันออกกลาง มันจึงได้รับความไว้วางใจจากกองทัพและหน่วยงานรักษากฎหมายของสหรัฐให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานประจำการมาตั้งแต่ปี1997 โดยเฉพาะComp M4ซึ่งเป็นศูนย์เล็งจุดแดงที่ดีที่สุดเท่าที่เอมพอยท์ผลิตมานั้นปัจจุบันประจำการในกองทัพและหน่วยงานรักษากฎหมายของสหรัฐฯแล้วกว่าล้านชิ้น และยังคงมียอดสั่งผลิตต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

นอกจากแม่นยำใช้เวลาเล็งยิงได้รวดเร็วแล้วมันยังทนทายาท ศูนย์เล็งจุดแดงComp M4ที่ได้มาทดสอบนั้นทนจริงสมคำโฆษณาของเอมพอยท์ เมื่อใช้ติดกับปืนเล็กสั้นM4บนรางติดอุปกรณ์เหนือโครงปืน แล้วเล็งยิงแบบกึ่งอัตโนมัติติดต่อกันเป็นร้อยนัด ศูนย์ที่ตั้งไว้แต่แรกไม่คลาดเคลื่อน ลองยิงแบบอัตโนมัติต่อเนื่องอีกเป็นร้อยนัดก็ไม่เคลื่อน ถอดออกมาขว้างบนพื้นคอนกรีตแล้วเตะลงน้ำ งมขึ้นมาใช้ใหม่ก็ยังทำงานได้เป็นปกติ ที่ดีกว่านั้นคือใช้งานร่วมกับอุปกรณ์มองกลางคืน(NVD: Night Vision Devices)ได้โดยไม่ต้องดัดแปลง เพราะการเอาแค่จุดแดงไปทาบเป้าไม่ต้องเรียงศูนย์หน้าและหลังให้ได้แนว ผู้ใช้อาวุธจึงลดเวลาการเล็งเป้าเร่งด่วนลงได้มากกว่าครึ่งของเวลาเดิม แค่ทาบเป้าแล้วเหนี่ยวไก...ทาบแล้วเหนี่ยว...

นี่จึงเป็นอีกผลิตภัณฑ์จากประเทศสวีเดนสำหรับกองทัพทั่วโลกนอกจากเครื่องบินรบและเรือดำน้ำ ที่เชื่อมั่นในประสิทธิภาพได้สนิทใจ โดยผู้ทดสอบและใช้งานรายใหญ่คือกองทัพสหรัฐฯที่นำศูนย์เล็งจุดแดงไปใช้ทั้งในอิรัค อาฟกานิสถานและทุกที่ที่ทหารอเมริกันประจำการอยู่ นอกจากสหรัฐฯและกองทัพสวีเดนจะไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ของเอมพอยท์แล้วยังมีอีกหลายประเทศที่บรรจุอุปกรณ์ช่วยเล็งจุดแดงชิ้นนี้ไว้ประจำการ อาทิกองทัพบกฝรั่งเศส,กองทัพบกเดนมาร์ก,กองทัพบกฟินแลนด์,กองทัพบกนอร์เวย์,กองทัพบกแลตเวีย,กองทัพบกสโลเวเนียและกองทัพบกอิตาลี ถึงในบางประเทศที่ไม่ได้บรรจุเอมพอยท์เข้าประจำการ แต่กำลังพลที่พอมีทุนทรัพย์ก็จดหามาไว้ใช้เอง เมื่อเห็นความสำคัญของการเล็งยิงที่เร็วกว่าซึ่งจะช่วยรักษาชีวิตของตนเองไว้ได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเล็งยิงด้วยมุมไหน ในสภาพแสงอย่างไรจุดแดงจะสว่างคงที่และคงตำแหน่งไม่เคยเปลี่ยน

หลังจากทดสอบแล้วผมมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของเอมพอยท์มีคุณภาพสมคำโฆษณาจริงๆ ถึงไม่ต้องทดสอบก็พอจะมั่นใจได้จากรายชื่อประเทศที่ใช้อุปกรณ์แบรนด์นี้ในกองทัพ ราคาของมันไม่แพงเลยถ้าจะเทียบกับชีวิตของเจ้าหน้าที่ซึ่งอาจถึงกับเสียชีวิตหรือบาดเจ็บ การลงทุนกับศูนย์เล็งดีๆสักอันหนึ่งจึงไม่แตกต่างจากการลงทุนเพื่อซื้อชีวิต เพื่อความอยู่รอดเพื่อจะได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้อีก ไม่เป็นที่เศร้าเสียใจสำหรับคนใกล้ชิด

ผู้นำเข้าและเป็นผู้แทนจำหน่ายแต่ผู้เดียวในประเทศไทยคือบริษัท299 มีโชว์รูมคือร้านTankStoreชั้น3ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โทรศัพท์02 613 1052

กองทัพเรือไทยกับเรือดำน้ำ(จบ)


เพราะเรือดำน้ำมีคุณค่าทางยุทธการทั้งเชิงรุกและรับ นับแต่เรือดำน้ำรบลำแรกชื่อ"เทอร์เทิล"(Turtle)ได้ถือกำเนิดขึ้นจากความคิดของเดวิด บุชเนลล์ชาวอเมริกันระหว่างสงครามปลดแอกตั้งแต่ปี1775แล้ว มันจึงถูกพัฒนาให้ดีขึ้นตลอดเวลาในด้านต่างๆทั้งความเร็ว ความเงียบ และอาวุธที่ทรงอานุภาพรวมถึงความปลอดภัยของลูกเรือ เราไม่ได้ต้องการมันเพียงเพราะแค่ให้มีของไว้อวดใครๆว่าเราก็มี แต่เราต้องการมันเพราะต้องปกป้องผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เพื่อถ่วงดุลการเมืองระหว่างประเทศไม่ให้เสียไป เมื่อต้องการความเป็นธรรมเราก็สามารถเรียกร้องได้ด้วยเหตุผลและกำลังทางทหารที่เข้มแข็ง

คนเป็นทหารอาชีพนั้นมักจะมีจุดอ่อนตรงที่ประชาสัมพันธ์หาแนวร่วมไม่เก่ง เมื่อพวกเขาถูกสอนมาให้ป้องกันประเทศก็ต้องคาดการณ์และคอยระวังภัยคุกคามตลอดเวลา มีโอกาสจะเสริมเขี้ยวเล็บก็ต้องจัดหามาแต่พอซื้อของแพงก็ตกเป็นจำเลยของสังคม ครั้นจะไม่ทำอะไรเลยทนใช้ของเก่าไปก็ถูกกล่าวหาอีกว่ากองทัพล้าสมัยสู้กับใครก็แพ้ โครงการจัดหาอาวุธใหม่หรือทดแทนในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาจึงเกิดความเปลี่ยนแปลงไปในแง่ดีมากขึ้น ด้วยเหตุผลดังนี้ 1.ต้องโปร่งใสเพื่อให้โครงการนั้นอยู่รอดได้ด้วยตัวมันเองเมื่อถูกตรวจสอบ และ 2.ต้องใช้งานได้จริงเพื่อใช้อาวุธได้คุ้มค่ากับที่ต้องจ่ายแพง กำลังพลและผู้เสียภาษีมั่นใจในความปลอดภัยของลูกหลานผู้ใช้อาวุธเหล่านั้น และข้อสำคัญ3.ต้องได้มาด้วยเงื่อนไขเป็นประโยชน์สูงสุดจากประเทศต้นทาง และในข้อ3นี้แหละที่เราจะมาดูกันว่ากองทัพเรือไทยได้อะไรจากเยอรมันบ้างพร้อมกับเรือดำน้ำพร้อมใช้งาน4ลำและเรือฝึกในท่าอีก2ลำ

ถ้าจะมองในภาพรวมก็ต้องบอกว่าเราจัดตั้งกองเรือดำน้ำขึ้นใหม่เลยหนึ่งกองเรือ ด้วยเรือดำน้ำพร้อมใช้งานไม่ใช่ของเก่าปลดระวางอย่างที่ผู้ไม่รู้(หรือรู้แต่อยากกล่าวเท็จเพื่อความสะใจ) เหตุผลคือกองทัพเรือเยอรมันต้องปรับลดงบประมาณ อะไรที่มากเกินแล้วพอจะขายเอาเงินเข้าประเทศได้เขาก็ทำ เรือดำน้ำไทพ์206เอที่เราได้เจรจาติดต่อไว้นานแล้วนี้ไม่ใช่ของเก่าปลดระวาง แต่ขายไปเพื่อให้เหลือแค่ไทพ์212ซึ่งใหม่กว่าเท่านั้น ไทพ์206เอเป็นเรือดำน้ำในประจำการที่ยังเหลือเวลาใช้งานอยู่อีกนับสิบปี หากเปลี่ยนเครื่องยนต์และอุปกรณ์อีเลคทรอนิคต่างๆก็ยังยืดระยะเวลาใช้งานต่อไปได้อีกนาน10-20ปี ไม่นับตัวเรือที่สร้างจากเหล็กปลอดสนิมที่ต้องการการดูแลน้อยมาก

นอกจากตัวเรือและเครื่องยนต์ที่ปรับปรุงใหม่ ยังมีระบบอาวุธที่เราจะได้มาเป็นแพคเกจทำนองเดียวกับระบบกริพเพนของกองทัพอากาศ เช่นทอร์ปิโดแบบดีเอ็ม-23เอ ส่วน"ทุ่นระเบิดฉลาด"(smart mine)นั้นระหว่างนี้ยังเจรจากับกองทัพเรือเยอรมันอยู่ว่าเขาจะให้มาด้วยหรือไม่เพราะเป็นอาวุธเทคโนโลยีสูง จะขายได้ต้องขออนุญาตรัฐบาลก่อน ที่ได้แน่ๆคือกล่องบรรจุทุ่นระเบิดติดตัวเรือ(mine belt)มาด้วย แต่ถึงจะไม่มีทุ่นระเบิดฉลาดก็ยังใช้ทุ่นระเบิดที่มีอยู่ได้ ที่ได้แน่ๆอีกก็คืออะไหล่เรือสำรองคลังมาทั้งหมดรวมทั้งอุปกรณ์ซ่อมบำรุงย่อยจนถึงใหญ่ระดับโรงงาน อุปกรณ์ทดสอบการทำงานของระบบ อุปกรณ์ฝึกทั้งลูกเรือและช่างซ่อมบำรุง ชุดหนีภัย(escape suite)เพื่อใช้สวมหนีภัยจากเรือเมื่อจมก็ยังได้มาพร้อมกัน

นอกจากตัวเรือและเครื่องยนต์ อุปกรณ์ติดตัวเรือมีมาอย่างไรเราจะได้อย่างนั้นไม่มีการถอดออก ได้ใช้เรือตามมาตรฐานเยอรมันจริงๆเว้นแต่อุปกรณ์เข้ารหัสสัญญาณสื่อสาร ที่เขาขอเก็บไว้เพราะเป็นความลับของแต่ละประเทศ แม้จะใช้งานมานาน30ปีแล้วแต่ระบบในตัวเรือยังใหม่และปรับปรุงให้ทันสมัยตลอดไม่ได้ด้อยไปกว่าเรือดำน้ำรุ่นใหม่กว่าเลย เช่นระบบอำนวยการรบแบบISUS-83(Integrated Sensor Underwater System)ของบริษัทแอตลาส(Atlas) มีคอนโซลจอภาพสีรวบรวมข้อมูลจากระบบต่างๆในเรือมาไว้ในศูนย์บัญชาการเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการสั่งการ

ในส่วนของอุปกรณ์ฝึกก็คือเครื่องฝึกจำลอง(simulator)ที่จำลองสภาพภายในเรือดำน้ำมาไว้บนบก ให้กำลังพลใช้ฝึกทำนองเดียวกับเครื่องจำลองการบิน(flight simulator)ของนักบินรบกองทัพอากาศ ฝึกได้ทั้งการดำ ใช้อาวุธ ฝึกซ่อมบำรุง ควบคุมความเสียหายได้เหมือนจริง ใครที่เคยดูสารคดีSubmarineทางดิสคัฟเวอรี่ แชนเนลคงต้องผ่านตามาบ้างกับภาพของช่างที่กำลังอุดรอยรั่วท่ามกลางสายน้ำพุ่งแรงจำการรั่วจำลองจนทำอะไรไม่ถูก และนั่นคือสภาวะที่ทหารของเราจะได้พบ รวมทั้งการฝึกกำลังพลโดยเฉพาะชุดรับเรือที่จะได้รับการฝึกทั้งการปฏิบัติงานในเรือและยุทธวิธี เคล็ดลับที่เยอรมันใช้ได้ผลสั่งสมมาเป็นเกือบร้อยปีตั้งแต่ครั้งสงครามโลกครั้งที่1และ2ถึงปัจจุบัน

จึงถือได้ว่าเราจะได้ของครบเสมือนยกกองเรือดำน้ำเยอรมันทั้งกองเรือมาไว้ในอ่าวไทย เหลือแค่เจรจา(กับคนไทยด้วยกันเอง)ให้รู้เรื่อง สร้างโรงเก็บ คลัง อาคารสถานที่ไว้ให้พร้อมเท่านั้น ไม่ใช่การ"ซื้อเรือดำน้ำ"แต่นี่คือการ"ยกกองเรือดำน้ำเยอรมันทั้งกองมาประจำการ"ในกองทัพเรือของเรา

พูดถึงอ็อปชั่นแล้วก็กลับมาว่ากันในรายละเอียดของตัวเรือ โดยข้อมูลของไทพ์206เอก็คือเป็นเรือดำน้ำตื้นที่เยอรมันคาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องเสี่ยงกับทุ่นระเบิดเหนี่ยวนำด้วยอำนาจแม่เหล็กจากตัวเรือ พูดง่ายๆคือเยอรมันสร้างเรือรุ่นนี้ขึ้นด้วยความตระหนักถึงภัยจากทุ่นระเบิดแบบแม่เหล็กดูดในน้ำตื้น ตัวเรือจึงถูกสร้างขึ้นจากเหล็กปลอดอำนาจการเหน่ียวนำ(non-magnetic) ข้อดีที่ทำให้เหนือกว่าเหล็กอื่นๆที่ใช้สร้างเรือดำน้ำทั่วไปเช่นเหล็กแรงยึดเหนี่ยวสูง(high yield: HY-80หรือHY-100) คือปลอดสนิมและทนการกัดกร่อนของน้ำทะเล โครงสร้างของไทพ์206เอจึงมีอายุใช้งานไม่จำกัด ต่างจากเรือชั้นสกอร์เปเน(Scorpene)ที่กองทัพเรือมาเลเซียใช้อยู่ซึ่งตัวเรือใช้งานได้แค่35ปีและเกินกว่านี้จะไม่ปลอดภัย

หากไม่ไปเจาะ,ตัด,ทุบตัวเรือไทพ์206เอก็จะใช้งานไปได้เรื่อยๆ แต่ตัวจำกัดอายุการใช้งานจริงๆคือแบตเตอรี่ซึ่งใช้ได้นาน10ปีและอุปกรณ์อีเลคทรอนิคซึ่งใช้ได้นาน15ปี กองทัพเรือไทยวางโครงการไว้ว่าจะใช้งานนาน10-15ปี ระหว่างนี้ยังมั่นใจได้ว่าไม่มีปัญหาเพราะเยอรมันให้อะไหล่สำรองมาทั้งหมดจึงไม่ต้องหวั่นเรื่อง"ซ่อมกินตัว"(เอาอะไหล่ของอาวุธใช้งานได้มาใส่ตัวที่เสียไปเรื่อยๆจนกว่าจะพังหมด)

เงินทั้งเจ็ดพันกว่าล้านจริงๆแล้วก็ไม่ใช่การจัดหาเรือใหม่อย่างเดียวอีก ยังรวมถึงการปรับปรุงเรือซึ่งเยอรมันจะโอเวอร์ฮอลทุกระบบของเรือทั้งสี่ลำให้เหมือนเข้าอู่ยกเครื่อง เซ็ตไมล์เป็นศูนย์ให้เหมือนใหม่ป้ายแดง เว้นแต่ตัวเรือที่เป็นของเดิม รวมทั้งติดเครื่องปรับอากาศให้ใช้งานได้ในเขตร้อนซึ่งในตัวเรือมีพื้นที่และพลังงานไฟฟ้าพอเพียงให้ติดตั้งได้

หลังจากเรือชุดนี้ปลดประจำการแล้วกองทัพเรือก็จะคาดการณ์ตามสภาพเศรษฐกิจหรือนโยบายของรัฐบาล หากไม่มีปัญหา ชี้แจงรายละเอียดให้เข้าใจได้ทะลุปรุโปร่ง ไม่มีการเมืองมาแทรก เรือดำน้ำชุดที่2ก็จะตามมาซึ่งเป็นเรื่องในอนาคตที่กองทัพเรือต้องพิจารณา ซึ่งไม่จำเป็นต้องมาจากเยอรมนีแค่ชาติเดียวแต่อาจเป็นเรือของสวีเดน รัสเซีย หรือใครก็ได้ที่มีประวัติการสร้างและใช้งานดี ปลอดภัย

การใช้เรือดำน้ำมือสองไม่ใช่เรื่องเสียหาย กองทัพเรือของเราว่างเว้นจากการใช้เรือประเภทนี้มา60ปีกว่า จะว่าต้องเริ่มจากไม่มีอะไรเลยก็ได้เพราะว่างเว้นไปนานไม่มีใครสานต่อ ถ้าจะซื้อด้วยเงินเป็นหมื่นล้านเพียงเพื่อเอามาฝึกยุทธวิธีและสร้างความคุ้นเคยกันใหม่เท่านั้นก็เหมือนกับเอาเงินไปทิ้งเปล่าๆ ข้อเท็จจริงคือสิงคโปร์ที่รวยกว่าและล้ำหน้าเราเรื่องเรือดำน้ำไปสิบห้าปีก็ยังเริ่มจากเรือดำน้ำมือสองที่เก่ากว่าของเราเวลานี้ ชุดแรกของสิงคโปร์ปลดไปแล้วเรือชุดสองก็ยังเป็นมือสองที่เหลืออายุใช้งานมากกว่าชุดแรก เราได้ไทพ์206เอมาด้วยราคาเจ็ดพันกว่าล้านพร้อมออปชั่นเพียบจึงถือได้ว่าถูกกว่ามาก จะว่าคุ้มค่าก็ได้ไม่ตะขิดตะขวงใจ

รัฐบาลเยอรมันให้ความสำคัญกับเราก่อน เพราะความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาแต่อดีตซึ่งเริ่มแต่เมื่อครั้งสมเด็จพระจุลจอมเกล้ารัชกาลที่5เสด็จเยือนยุโรป ชาวเยอรมันรู้จักประเทศไทยตั้งแต่เวลานั้นและมีการติดต่อแลกเปลี่ยนด้านต่างๆกันมาตลอดเวลาถึงปัจจุบัน ถึงเราจะมีนักการเมืองที่เลวทราม มีระบบการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ แต่ในภาพรวมแล้วเขายังมั่นใจว่ายังพอจะร่วมพัฒนากองทัพกับเราได้ เมื่อระบบเศรษฐกิจของเรายังแข็งแกร่ง คนไทยมีน้ำใจให้การดูแลนักท่องเที่ยวอย่างจริงใจไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ

เมื่อท่านอ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว ผมใคร่บอกว่าเนื้อหาสาระที่ปรากฎมาทั้งสามตอนนั้นเป็นข้อมูลจริง(facts) ไม่ใช่การเล็งผลเลิศ ผมเขียนขึ้นด้วยข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ด้วยภาษาง่ายๆเพื่อให้ท่านได้อ่านและตัดสินใจ เชื่อว่ามีหลายข้อมูลที่คนทั่วไปยังไม่รู้และจะได้รู้จากบทความทั้งสามตอนนี้ เมื่อรู้แล้วโปรดพิจารณาด้วยใจเป็นธรรมอย่ามองโลกด้วยสายตาของพลเรือนเพียงด้านเดียวเมื่อกล่าวถึงการป้องกันประเทศ เราเตรียมพร้อมรบมิใช่เพื่อก่อสงครามเพราะชาติเล็กอย่างเราไม่มีศักยภาพพอจะไปข่มเหงรังแกใครได้ และการรุกรานชาติเพื่อนบ้านก็หมดสมัยไปแล้วตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่2 เราเตรียมพร้อมเพื่อไม่ให้ใครมารังแกเราหรือคุกคามต่อผลประโยชน์ที่ชาติเราพึงมีพึงได้นั่นต่างหาก

นับว่าน่าเสียดายที่การจัดหาเรือดำน้ำต้องล่าช้าออกไปอีกทั้งที่เราพร้อมทุกอย่าง กองทัพเรืออดออมถนอมใช้งบประมาณของตัวเองโดยไม่ได้ขอเพิ่มจากรัฐบาล ในฐานะผู้เสียภาษีนั้นพี่น้องชาวไทยไม่ได้เดือดร้อนเลยกับเรื่องตรงนี้ แต่ก็ยังไม่ผ่านสภาด้วยเหตุใดไม่ปรากฎ ด้วยการเจรจาซึ่งดำเนินมาอย่างยาวนานกับรัฐบาลเยอรมันซึ่งคงไม่เป็นอื่น คาดว่าเมื่อมีวาระที่เหมาะสม กองทัพเรือก็ต้องพยายามผลักดันให้เรื่องนี้ผ่านให้ได้เพราะไม่มีเหตุผลให้ต้องระงับด้วยประการทั้งปวง ยังนับว่าเราโชคดีที่รัฐบาลเยอรมันยังรอเราไม่ได้ตัดสินใจขายเรือให้ประเทศลำดับรองลงไป แต่เราจะโชคดีไปได้นานแค่ไหนนั้นเห็นทีต้องพึ่งดวงชะตากันอย่างเดียวละกระมัง

เพราะตราบใดที่การเมืองยังไม่นิ่งก็คงคาดหวังอะไรๆได้ยาก จะว่าคาดการณ์กันไม่ได้เลยก็ยังได้...