วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552

AK-47 ปืนยอดนิยมของผู้ร้าย?


เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าปืนเล็กยาวคืออาวุธประจำกายของทหารราบ ทหารต้องพึ่งพามันได้ยามเข้าสมรภูมิไม่ว่าภูมิประเทศและภูมิอากาศจะเป็นอย่างไร กลไกของปืนคู่กายต้องทำงานได้ดีไม่ติดขัด ความขัดข้องแม้เพียงน้อยนิดหมายถึงชีวิตของทหารผู้ถือปืนกระบอกนั้น หากมีใครตั้งคำถามว่ามีปืนเล็กยาวแบบนั้นอยู่ในโลกหรือเปล่า? คำตอบก็คือมี และมีมาตั้งแต่ปีค.ศ.1947แล้วในชื่อAK-47 จากชื่อเต็มAvtomat Kalashnikova obraztsova :goda1947 ในชื่ออันคุ้นเคยว่า”อาก้า” ปืนเล็กยาวจากฝีมือการออกแบบของนายทหารชาวรัสเซียผู้ใช้นามสกุลของตนเป็นชื่อย่อของปืน ร้อยเอกมิคาอิล คาลาชนิคอฟ ก่อนจะแตกรุ่นออกไปมากมายและเป็นที่นิยมใช้ในกองทัพทั่วโลกถึงปัจจุบัน
ประวัติศาสตร์หน้าแรกของอาก้าเริ่มขึ้นในดินแดนของศัตรูเมื่อสงครามโลกครั้งที่2 จากการวิจัยของกองทัพบกเยอรมันที่พบว่าระยะยิงปืนเล็กยาวหวังผลได้ดีที่สุดคือ300เมตร ตรงนั้นคือระยะไกลที่สุดที่ทหารมองเห็นด้วยตาเปล่าและสามารถทำลายเป้าหมายได้ด้วยอาวุธประจำกาย นำกระสุนเข้าสนามรบได้อย่างพอเพียง เพื่อให้ใช้ปืนได้ง่ายมันต้องมีระบบการทำงานไม่ซับซ้อน มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อยที่สุดเพื่อง่ายต่อการบำรุงรักษาในสนาม ผลการวิจัยของเยอรมันทำให้ต้องรื้อแนวความคิดในการสร้างอาวุธประจำกายทหารราบใหม่ทั้งหมดรวมถึงกระสุน เพื่อให้ยิงหวังผลได้ในระยะ300เมตร กระสุนเดิมขนาด7.92X57ม.ม.ของเมาเซอร์ที่ใหญ่และหนักเกินจำเป็นจึงถูกตัดท้ายให้สั้นลงเป็น7.92X33ม.ม.มีชื่อเล่นว่า”คูร์ซ”(Kurz) ผลพลอยได้คือราคาถูกลงและผลิตได้มากกว่า
ผลจากการวิจัยของเยอรมันทำให้เกิดปืนเล็กยาวเพื่อรองรับแนวความคิดและกระสุน “ชทวร์มเกแวร์44”(Sturmgewehr44 ชื่อเดียวกับMP44) โดยการนำข้อดีของปืนอีกสองสัญชาติมาดัดแปลงคือปืนเชอิ-ริก็อตตี(Cei-Rigotti)ของอิตาลีและเฟโดรอฟ อัฟโตมัต(Fedorov Avtomat)ของรัสเซียคู่สงครามในขณะนั้น แล้วผลิตออกมามากในปีค.ศ.1944 เพื่อส่งเข้าแนวรบด้านตะวันออกที่ตนกำลังเพลี่ยงพล้ำให้ยันการรุกของกองทัพแดง ถึงจะได้ชื่อว่าผลิตออกมามากเพราะสร้างได้เร็วจากเทคนิคการปั๊มโลหะขึ้นรูป แต่StG44ไม่สามารถเปลี่ยนโฉมหน้าของสงครามได้ เยอรมันแพ้สงครามในปีถัดมาก็จริง แต่รัสเซียได้รับผลกระทบจากปืนแบบนี้ไปเต็มๆเพราะถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาดรวมทั้งที่ยึดได้อีกมาก
โลกคงไม่รู้จักมิคาอิล คาลาชนิคอฟหากเขาเสียชีวิตในสมรภูมิเมืองไบรยันสก์ ปราการขวางกองทัพเยอรมันสู่กรุงมอสโกที่ทหารของกองทัพแดงถูกสังหารถึง80,000นายและอีก50,000ตกเป็นเชลย คาลาชนิคอฟได้รับบาดเจ็บที่นี่ระหว่างทำหน้าที่ผู้บังคับรถถังในกองพลยานเกราะที่12 ด้วยยศสิบเอกและการเผชิญหน้ากับเยอรมันด้วยยานเกราะและบางครั้งก็ปะทะกันแบบทหารราบ คาลาชนิคอฟจึงเข้าใจดีถึงความต้องการอาวุธประจำกายของทหาร เขาเบนเข็มจากทหารในหน่วยรบสู่นักออกแบบและพัฒนาอาวุธหลังออกจากโรงพยาบาล ด้วยความคิดว่าจะนำประสบการณ์และความรู้ของตนมาช่วยกองทัพ ให้ทหารมีอาวุธดีๆใช้และกองทัพแดงไม่เป็นรองใคร
อาวุธประจำกายพลิกประวัติศาสตร์ฝีมือมิคาอิล คาลาชนิคอฟจึงเกิดขึ้น จากแนวความคิดให้ตอบสนองความต้องการของทหารราบมากที่สุด ต้องผลิตได้เร็ว มาก ยิงแม่นพอประมาณด้วยกระสุน7.62X39 ม.ม.ที่เล็กกว่าแต่ให้แรงขับมากกว่ากระสุนต้นแบบของเยอรมันเล็กน้อย ทหารถอดทำความสะอาดได้รวดเร็วโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ ใช้งานได้ในทุกภูมิประเทศและภูมิอากาศ เมื่อปืนเล็กยาวและปืนกลมือในขณะนั้นต่างก็มีข้อดีแตกต่างไป ปืนของคาลาชนิคอฟจึงเกิดจากการนำข้อดีของปืนเหล่านั้นมารวมกัน ด้วยเดือยล็อกลำกล้องคู่จากM1”กาแรนด์”(Garand)ของสหรัฐ เรือนเครื่องลั่นไกและกลไกนิรภัยจากปืนเล็กยาวเรมิงตันโมเดล8 และระบบการทำงานด้วยแก๊ซกับรูปแบบการวางเรียงชิ้นส่วนจากStG44ของเยอรมัน ระบบทั้งหมดถูกนำมายำโดยไม่ต้องคิดค้นอะไรใหม่ให้มากความ
ถึงคาลาชนิคอฟจะบอกว่าไม่ได้เอาแนวคิดของเยอรมันมาใช้(เพราะตอนนั้นเป็นศัตรูกัน ใครจะไปยอมรับว่าปืนของข้าศึกดีกว่าจนต้องลอกเลียน) แต่หลักฐานที่ปรากฏนั้นเป็นไปคนละทิศละทาง AK-47 คล้ายคลึงกับStG44เหมือนปืนแบบเดียวกันแต่แตกรุ่น ด้วยพานท้ายไม้ลาดต่ำ โครงปืนเหล็กปั๊มขึ้นรูป ซองกระสุนโค้งเพื่อจุกระสุนได้มาก ทำงานด้วยแรงดันแก๊ซผลักลูกเลื่อนถอยหลังคัดปลอก มีคันบังคับการยิงอยู่ด้านขวาของตัวปืนเหมือนกัน
ทั้งที่ปืนเล็กยาวของค่ายตะวันตกและสหรัฐต่างวางตำแหน่งกึ่งอัตโนมัติ(semi)ให้เลือกยิงได้ก่อนอัตโนมัติ(auto) แต่คาลาชนิคอฟกลับเลือกระบบการยิงของปืนตนเองกลับข้างกัน ให้เลือกยิงอัตโนมัติได้ก่อนผลักสวิทช์ไปยิงกึ่งโนมัติ ด้วยเหตุผลว่าเพื่อให้กลุ่มกระสุนกดหัวข้าศึกไว้ก่อนแล้วจึงเปลี่ยนระบบการยิง! เป็นการเลือกระบบการยิงที่ฉลาดและเป็นไปตามสถานการณ์จริง เมื่อเกิดเหตุคับขันทหารมักจะเลือกยิงอัตโนมัติให้กลุ่มกระสุนกดหัวฝ่ายตรงข้ามไว้ ก่อนจะเข้าที่กำบังและเล็งประณีตต่อด้วยระบบกึ่งอัตโนมัติ
แนวความคิดเริ่มต้นของAK-47เกิดขึ้นในปลายปีค.ศ.1941จริง แต่กว่าจะพัฒนาและทดสอบจนพอใจได้ก็ล่วงถึงค.ศ.1944 กว่าจะชนะการประกวดให้เป็นปืนในโครงการทดลองของกองทัพโซเวียตได้ยังต้องใช้เวลาอีกสองปีและถัดมาอีกปีคือค.ศ.1947 มันจึงได้เข้าประจำการในฐานะอาวุธประจำกายทหารบางหน่วย ก่อนจะประจำการในฐานะอาวุธพื้นฐานของทหารราบทั้งหมดของโซเวียตในปีค.ศ.1949 ตามด้วยกลุ่มประเทศกติกาสัญญาวอร์ซอว์และบริวาร มีให้เลือกทั้งแบบพานท้ายไม้ปกติสำหรับหน่วยรบภาคพื้นดิน และพานท้ายเหล็กพับเก็บได้เพื่อความคล่องตัวสำหรับทหารประจำยานรบและหน่วยรบพิเศษ ก่อนจะแตกรุ่นและแบบออกไปอีก
ความโดดเด่นของAK-47นอกจากที่กล่าวข้างต้น คือมันราคาถูก ถอดรื้อทำความสะอาดชิ้นส่วนง่ายแม้ทหารสวมถุงมือ เพื่อตอบสนองความต้องการของทหารโซเวียตที่ประจำการในเขตอากาศหนาวของรัสเซียและขั้วโลกเหนือส่วนใหญ่ การสร้างให้ลูกสูบใหญ่มีช่องว่างระหว่างชิ้นส่วนเคลื่อนไหวหลวมๆและปลายปลอกกระสุนเรียวแหลม(เป็นเหตุให้ต้องสร้างซองกระสุนโค้งรับสรีระของกระสุน) ทำให้ปืนทนทานต่อสิ่งแปลกปลอมที่พยายามแทรกตัวเข้าสู่กลไก มันจึงทำงานได้เป็นปกติแม้หลังจากแช่น้ำ หมกโคลน หรือฝังทรายไว้ครั้งละหลายวันบางครั้งนานเป็นเดือน ขุดขึ้นมายิงกลไกยังทำงานได้เรียบร้อยเหมือนใหม่!
ทั้งที่ดูแลง่าย ซ่อมง่าย ทนทานไม่เกี่ยงลมฟ้าอากาศ แต่AK47ก็มีจุดอ่อนคือความแม่นยำต่ำ เป็นผลจากการประกอบชิ้นส่วนไว้หลวมๆ แสดงถึงแนวความคิดของทหารราบโซเวียตขณะนั้น ที่มุ่งใช้ปืนเล็กยาวยิงกดเพื่อคลุมพื้นที่เป็นหลักก่อนการเคลื่อนที่ของหน่วยรบ และเป็นไปตามหลักนิยมของกองทัพโซเวียตตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่2ที่ว่า”ปริมาณคือคุณภาพ” ปรัชญานี้สะท้อนให้เห็นด้วยการเน้นปริมาณยุทโธปกรณ์แบบต่างๆนอกจากปืน เช่นรถถัง เครื่องบินรบ เรือดำน้ำและอื่นๆ ประมาณว่าปัจจุบันมีAK-47อยู่กว่าร้อยล้านกระบอกทั่วโลกทั้งจากโรงงานในโซเวียต(ในอดีต)และรัสเซีย(ปัจจุบัน) เฉพาะที่มีซีเรียลนัมเบอร์จากโรงงานในรัสเซียประมาณ10ล้านกระบอก นอกเหนือจากนั้นคือการผลิตภายใต้สิทธิบัตรในจีน,ยูโกสลาเวีย,สาธารณรัฐเช็คและรัฐที่เคยอยู่ใต้อานัติของโซเวียต
ปัจจุบันนอกจากรัสเซีย,จีนและประเทศในกลุ่มกติกาสัญญาวอร์ซอว์ AK-47ยังมีใช้งานในกองทัพทั่วโลก ที่พบเป็นหลักคือเป็นอาวุธประจำกายของกองโจรต่างๆและผู้ก่อการร้ายโดยเฉพาะจากตะวันออกกลาง เป็นที่นิยมเพราะลูกสูบของปืนแบบนี้ไม่กลัวทราย ใช้งานในทะเลทรายได้โดยไม่ต้องปรนนิบัติมาก ใครที่เคยสัมผัสAK-47จริงๆมาแล้วจะพบว่าหลังจากเปิดโครงปืนด้านบนดูกลไกแล้ว แทบไม่พบชิ้นส่วนเคลื่อนไหวใดๆเลย มันประกอบขึ้นด้วยเหล็กเพียงไม่กี่ชิ้น สปริง ลูกสูบและลำกล้องแต่ใช้งานได้ไหลลื่นไม่ติดขัด เพราะความง่ายนี้เองกองกำลังส่วนใหญ่ที่ไม่เน้นการฝึกยุทธวิธีจริงจังแต่เน้นปริมาณหน่วยติดอาวุธ จึงนึกถึงมันก่อนปืนแบบอื่น
ในตลาดอาวุธปัจจุบันนี้ถือว่าAK-47เป็นที่ต้องการของนักรบและนักสะสม ราคาค่างวดของมันมีตั้งแต่ไม่กี่ร้อยจนถึงหลักแสนดอลลาร์ AK-47เคลือบทองคือปืนประจำตัวของซัดดาม ฮูเซ็น ส่วนรุ่นลำกล้องตัดสั้นพับฐานคือปืนที่เห็นได้บ่อยๆในภาพข่าววิดีโอของโอซามา บิน ลาเด็น ที่ปรากฎเป็นฉากหลังของผู้นำกลุ่มก่อการร้ายตัวกลั่นคนนี้บ่อยจนกลายเป็นเครื่องหมายการค้า ย้ำเตือนให้นึกถึงกลุ่มอัล-ไคดา,กองกำลังทาลีบันและความรุนแรงอื่นๆในตะวันออกกลาง ถ้าเข้าช่องทางถูกถึงไม่ใช่ทหารก็อาจหาซื้อมันได้แถบตะเข็บชายแดน ในราคาเพียงกระบอกละ2,000-5000บาทตามสภาพ
AK-47จึงเป็นอาวุธประจำกายทหารราบจริงๆเท่าที่โลกเคยรู้จัก เล็งง่าย ยิงง่าย แทบไม่ต้องดูแลรักษานอกจากถอดชิ้นส่วนมาหยอดน้ำมันและเช็ดเป็นครั้งคราว คว้าขึ้นมาดึงคันรั้งลูกเลื่อนแล้วยิงได้เลยแทบไม่ต้องคิด อายุใช้งานแต่ละกระบอกยาวนาน20-40ปี!
คุณสมบัติของปืนดังกล่าวนั้นถือว่าไม่เกินจริงเลย เมื่อวัดจากปริมาณอันมหาศาลของมันในกองทัพทั่วโลก เป็นปืนของทหารราบ เพื่อทหารราบ ออกแบบโดยทหารแท้ๆ ตอกย้ำความหมายนี้หนักแน่นด้วยคำพูดของมิคาอิล คาลาชนิคอฟครั้งหนึ่งว่า”ทหารโซเวียตหลายคนเคยถามผมเรื่องการออกแบบและสร้างปืนใหม่ขึ้นมา เป็นคำถามที่ตอบยากเพราะปืนแต่ละแบบย่อมมีที่มาที่ไปไม่เหมือนกัน มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมบอกได้คือก่อนจะสร้างปืนใหม่ขึ้นมาสักแบบ การเข้าใจระบบการทำงานของปืนเก่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ประสบการณ์หลายๆครั้งของผมได้แสดงให้เห็นแล้วว่าจริง”
คำพูดของคาลาชนิคอฟเป็นจริงหรือไม่ ประวัติอันโชกโชนของ”อาก้า”ได้พูจน์ตัวเองชัดแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น