วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

MK48 MOD1 การกลับมาของ7.62ม.ม.


นับแต่ไฮแรม แม็กซิมประดิษฐ์ปืนกลได้สำเร็จเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ด้วยวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อยิงครอบคลุมพื้นที่ให้ทหารราบรุกคืบหน้า หรือเป็นม่านกระสุนสังหารยามตั้งรับข้าศึกและทำลายเป้าหมายด้วยอัตราการยิงต่อเนื่อง นี่คือหนึ่งในอาวุธทหารราบที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จากปืนกลหนักติดล้อเข็นหนักอึ้งกลายเป็นปืนกลประจำหมู่ที่น้ำหนักเบาลง และอื่นๆที่เป็นพัฒนาการให้เอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติงานของทหาร สงครามเวียตนามทำให้เรารู้จักปืนกลเอนกประสงค์M60 ที่ต่อมากลายเป็น"กระดูกสันหลัง"ของหมู่ปืนเล็กทั่วโลก หัวกระสุนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง7.62..ของมันเชื่อถือได้ทั้งวิถีและอำนาจการทำลายล้าง แต่นานไปเมื่อหลักนิยมของการทำสงครามเปลี่ยนแปลงจากป่ามาสู่เมือง เมื่อกองกำลังต้องปะทะกันในระยะเพียงไม่กี่สิบเมตรหรือเต็มที่ก็ไม่เกิน100-200เมตรในเขตเมืองและสิ่งปลูกสร้าง ทหารต้องขนอาวุธขึ้นและลงบ่อยๆจากยานรบหุ้มเกราะ ความยาวใหญ่เทอะทะของM60เริ่มเป็นปัญหา ทหารพบว่ากระสุน7.62..หนักเกินกว่าจะหิ้วเข้าสนามรบได้ทีละมากๆ ความรุนแรงของมันมากเกินต้องการและอาจก่อให้เกิดความเสียหายข้างเคียงได้เมื่อปะทะในเขตเมือง ต้องมีปืนกลประจำหมู่อีกแบบออกมาเพื่อสนองความต้องการที่เปลี่ยนไป

คำตอบคือM249จากค่ายฟาบรีค นาซิอ็องนาล(FN)แห่งเบลเยียมที่ใช้กระสุนเบาลง จาก7.62..ของM60เดิมเปลี่ยนมาเป็น5.56..มาตรฐานนาโตแบบเดียวกับกระสุนปืนเล็กยาวตระกูลM16 ให้ทหารนำพาเข้าพื้นที่ได้เหลือเฟือโดยไม่ต้องห่วงว่ากระสุนจะหมด เป็นส่วนผสมอันค่อนข้างลงตัวระหว่างปืนเล็กยาวกับปืนกลเมื่อมันเคี้ยวกระสุนแบบเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน ด้วยการยิงต่อเนื่องครอบคลุมพื้นที่แบบปืนกลแต่ใช้กระสุนปืนเล็กยาว ซ้ำยังป้อนกระสุนได้ทั้งจากสายกระสุนและซองกระสุนM16ธรรมดาที่เสียบข้างได้โดยไม่ต้องดัดแปลง มีแบบให้เลือกทั้งปกติพานท้ายเแข็งและแบบสำหรับพลร่มพานท้ายยืดหดได้ น้ำหนักรวมที่เบาลงของปืนทำให้ทหารแบกมันไปไหนต่อไหนได้นานกว่า คงประสิทธิภาพตลอดจนความแม่นยำต่อเป้าหมายได้ดีกว่าเมื่อปะทะกันในระยะไม่เกิน200-300เมตรแบบสมรภูมิในเมือง เช่นในอิรัก,โคโซโว

แต่M249ยังไม่ใช่คำตอบ หากกองกำลังหน่วยรบพิเศษต้องเข้าไปไล่ล่าผู้ก่อการร้ายทาลีบันในหุบเขาอันทุรกันดารของอาฟกานิสถาน ที่บ่อยครั้งทหารต้องซุ่มโจมตีจากระยะไกลตั้งแต่300เมตรขึ้นไปต่อเป้าหมายในภูมิประเทศเปิดโล่ง พื้นที่หุบเขาสูงๆต่ำๆและทะเลทรายที่แทบจะไม่มีมนุษย์ให้เห็นเลยนั้น ก่อปัญหาให้หน่วยรบพิเศษที่ต้องเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วด้วยกองกำลังขนาดเล็ก ปืนกลประจำหมู่ที่เบากว่าM60ได้ถูกนำมาใช้แล้วคือM240Bจากค่ายFNที่ใช้กระสุนขนาด7.62..เท่ากัน แต่นี่ก็ยังไม่ใช่คำตอบเสียทีเดียวทั้งที่กระสุนขนาดนี้ให้ระยิงและระยะหวังผลน่าพอใจในพื้นที่เปิดโล่ง น้ำหนักของมันทำให้ทหารอ่อนล้าต้องหยุดพักบ่อย กระสุนหน้าตัดใหญ่ทำให้ทหารนำพาไปได้น้อยทั้งยังยาวเทอะทะแทบไม่แตกต่างจากปืนกลประจำหมู่รุ่นพี่ แต่จะให้ใช้M249ก็ยังดูจะมีอำนาจการทำลายล้างไม่พอ ดังนั้นโจทย์ที่นักพัฒนาอาวุธต้องตีให้แตกจึงมีสองข้อ1.ปืนกลสำหรับหน่วยรบพิเศษในอาฟกานิสถานโดยเฉพาะบริเวณหุบเขาต้องเบาและสั้นใกล้เคียงกับM249 และ 2.ต้องยังใช้กระสุนขนาด7.62..เท่าเดิมเพื่อคงอำนาจการทำลายเป้าหมายและระยะยิงไกลไว้

คำตอบคือMK48 MOD1จากFNซึ่งถูกหน่วยซีลของกองทัพเรือสหรัฐฯนำเข้าประจำการในปี2000 เมื่อหน่วยรบพิเศษที่ต้องการความคล่องตัวสูงนี้ต้องการอาวุธอำนาจการยิงรุนแรงในระดับเดียวกับM60หรือM240B แต่ยังไม่อยากสูญเสียความสามารถด้านการเคลื่อนที่เร็วอันเป็นเอกลักษณ์ไป

จากคุณสมบัติคือตัวเล็กแต่หมัดหนัก พันเอกดั๊ก ทามิลิโอหัวหน้าโครงการ Soldier Weaponเพื่อจัดหาอาวุธประจำกายและประจำหน่วยรบขนาดเล็กให้ทหารของกองทัพบกในพื้นที่ทั่วโลก จึงพูดได้ชัดถ้อยชัดคำว่า"นี่แหละคือสุดยอดปืนกลจู่โจม" จุดประสงค์หลักของโครงการนี้คือสรรหาอาวุธที่เหมาะสมที่สุดให้ทหารอเมริกันใช้ในภูมิประเทศต่างๆกันไป เพื่อลดภาระของทหารแต่ยังคงสมรรถนะที่จำเป็นไว้คือกำลังชนและความแม่นยำ ด้วยน้ำหนักเปล่า8.22..ที่เบากว่าถึง4..กว่าเมื่อเทียบกับM240Bที่หนัก12.39..

แต่ก็ใช่ว่านี่จะเป็นความพยายามที่จะปลดประจำการอาวุธหนักกว่าแต่ความเสถียรสูงอย่างM240B มันเป็นแค่อาวุธเฉพาะกิจสำหรับอาฟกานิสถานเพื่อให้ทหารสบายตัวขึ้นเท่านั้นเมื่อต้องแบกปืนหนักๆเดินขึ้นๆลงๆภูเขาวันละเป็นสิบลูก เพราะปีหน้าM240รุ่นที่เบากว่าคือM240Lก็จะเข้าประจำการแทนรุ่นเดิม การมาถึงของMK48นี้ถือว่าเฉพาะกิจจริงๆคือต้องการหาอาวุธเฉพาะทางให้ทหารอเมริกันแถบเทือกเขาของอาฟกานิสถานใช้ได้เร็วที่สุด รูปพรรณสัณฐานของมันดูผ่านๆแทบไม่ต่างกันเลยจากM249 SAW(ปืนกลประจำหมู่Squad Automatic Weapon) ผลิตจากโรงงานเดียวกันด้วยคือFN พานท้ายก็เป็นพลาสติกติดตาย มีด้ามจับหลังไกปืนเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ใช้กระสุนหน้าตัด7.62..(นาโต)ของปืนกลมาตรฐานแทนที่จะเป็น5.56เหมือนM249และปืนเล็กยาวตระกูลM16ทั่วไป ด้วยอัตราการเคี้ยวกระสุนนาทีละ720นัด

แม้ว่าจะเบาและหมัดหนักแต่MK48กลับไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้นานเหมือนปืนตระกูลM240 ตัวปืนทนความกดดันมหาศาลและการกระแทกกระทั้นของกระสุนได้เพียง50,000นัด นับว่าทนได้แค่ครึ่งเดียวหากจะเทียบกับM240ที่ทนได้ถึง100,000นัด ลูกเลื่อนของMK48ก็ต้องเปลี่ยนใหม่หลัง15,000นัดในขณะที่M240ทนได้มากกว่านั้นคือ100,000นัด คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ดูเหมือนว่าM240จะลงตัวแล้วไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเว้นแต่ปัญหาหนักข้อเดียวคือน้ำหนัก เมื่อมันถูกแบกไปพร้อมกระสุนผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่าพร้อมเกราะและเครื่องสนาม ทหารอเมริกันที่ว่าตัวใหญ่ๆอึดๆแล้วยังยอมแพ้ ด้วยความที่มันเป็นปืนกลติดยานพาหนะมาก่อน การจะเอามาแบกวิ่งไล่ตามผู้ก่อการร้ายนั้นทำได้แต่ยิ่งระยะทางเพิ่มขึ้นทหารจะยิ่งอ่อนล้าลง ส่งผลถึงการตัดสินใจและความแม่นยำเมื่อปะทะ เรื่องความคล่องตัวคงไม่ต้องพูดถึงเพราะมีน้อยมาก ทหารหลายนายถึงกับส่ายหน้าเมื่อรู้ว่าตนต้องรับผิดชอบปืนรุ่นนี้ ให้มันติดรถฮัมวีไว้อย่างเดิมยังจะดีเสียกว่าต้องมาแบกให้เจ็บไหล่

ถึงMK48จะมีหน้าตาเหมือนM249ที่ใช้กระสุน5.56..และใช้กระสุนใหญ่กว่า แต่นี่คือการกลับไปสู่จุดเริ่มต้นเมื่อFNคิดค้นปืนแบบนี้ขึ้นมาก่อนM249จะมาใช้กระสุนปืนเล็กยาวเช่นในปัจจุบันนั้นมันถูกออกแบบให้ใช้กระสุน7.62..มาก่อน แต่เมื่อกองทัพบกสหรัฐฯเริ่มโครงการปืนกลประจำหมู่ใหม่ขึ้นนั้นผลลัพธ์คือรุ่นใช้กระสุน5.56..ด้วยเหตุผลด้านความคล่องตัวและน้ำหนักดังกล่าว รวมทั้งหลักนิยมในการทำสงครามเปลี่ยนไปM249รุ่นที่ใช้กระสุนแบบเดียวกับM60จึงถูกเก็บเป็นพิมพ์เขียวขึ้นหิ้งพักไว้ FNเคยสร้างM249รุ่นเล็กกว่าในรหัสว่าMK46ให้ซีลใช้ในปี1998และมันใช้งานได้ดี สองปีต่อจากนั้นซีลจึงขอให้เอาMK46มาใช้ลำกล้องที่เคี้ยวกระสุนใหญ่ขึ้น หลังจากนั้นมาMK46ใหม่ในชื่อMK48กับกระสุนที่ใหญ่ข้ึนจึงเป็นปืนกลยอดนิยมของหลายหน่วยรบในหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษสหรัฐฯ

พอถึงปี2007 FNก็ปรับปรุงMK48ให้ดีขึ้นในรหัสต่อท้ายว่าMOD1 หลังจากรุ่นMOD0ถูกนำทดสอบการใช้งานจริงในสนามทั้งอิรักและอาฟกานิสถานแล้วทหารรายงานข้อเสียกลับมายังบริษัท นอกจากระบบการป้อนและยิงกระสุนจะถูกปรับแต่ง สิ่งที่เพิ่มมาคือมีรางติดอุปกรณ์เสริมประกอบเสร็จจากโรงงาน เพื่อให้ทหารติดอุปกรณ์เพิ่มประสิทธิภาพของปืนได้ตั้งแต่ศูนย์เร่งด่วนจุดแดง,กล้องเล็งขยายไปจนถึงเครื่องฉายลำแสงอินฟราเรดและไฟฉายแรงสูงทางยุทธวิธี ถึงจะไม่ทนทานเท่ากับปืนกลรุ่นพี่เพราะถูกนำมาขัดตาทัพไว้ก่อน แต่ข้อดีของมันก็คือยิงจากตำแหน่งลูกเลื่อนเปิดซึ่งแก้ปัญหากระสุนป้อนแช่ในรังเพลิงร้อนแล้วยิงออกไปโดยไม่ได้เหนี่ยวไก(cook off) เมื่อบรรจุกระสุนแล้วการป้อนเข้ารังเพลิงจะเกิดได้ต่อเมื่อเหนี่ยวไกเท่านั้น

ทหารในหน่วยซีลกองทัพเรือสหรัฐฯต้นกำเนิดของปืนกลแบบนี้ ให้ความเห็นว่ามันเป็นปืนกลใช้ง่ายไม่ว่าจะบรรจุกระสุนหรือถอด,ประกอบ เรื่องความคงทนนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับกองทัพสหรัฐฯที่มีงบประมาณเหลือเฟือ เมื่อเทียบกับโอกาสที่จะปะทะข้าศึกซึ่งไม่ได้มีทุกวัน ความคงทนระดับ50,000นัดนั้นยิงกันเป็นปีกว่าจะเปลี่ยนโครงปืน แต่สิ่งที่ได้มาคือความเสถียรและแม่นยำที่ระยะ500-600เมตร ระยะไกลที่เกิดการปะทะขึ้นบ่อยระหว่างหน่วยรบพิเศษสหรัฐฯและพวกทาลีบัน ตรงนี้แหละที่เป็นข้อได้เปรียบของMK48เมื่อเทียบกับRPGและอาก้าของพวกทาลีบันที่แทบจะยิงไม่ถูกเลยหากเป้าไกลเกิน300เมตร

กรณีการสรรหาอาวุธให้ทหารใช้งานในเขตเทือกเขาอันแห้งแล้งของอาฟกานิสถานนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เมื่อปี2003หลังจากการโจมตีอาคารเวิลด์ เทรดและสหรัฐฯส่งทหารเข้าไปไล่ล่าบิน ลาเด็นใหม่ๆในอาฟกานิสถาน หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษได้จัดหาปืนเล็กยาวจำนวนหนึ่งให้ทหารใช้ในยุทธการ"เมาเทน ฟิวรี"(Operation Mountain Fury) ที่เริ่มขึ้นในปี2006เป็นการขยายผลตามหลังยุทธการเมดูซา(Operation Medusa) เพื่อกวาดล้างฝ่ายทาลีบันในจังหวัดทางภาคตะวันออก ความพิเศษของยุทธการครั้งนั้นไม่ใช่การใช้กลยุทธใหม่หรือยุทโธปกรณ์ไฮเทค แต่เป็นปืนเล็กยาวแบบใหม่คือSR-47ที่ใช้กระสุนขนาด7.62x39..ของอาก้า ด้วยเหตุผลคือในการกวาดล้างครั้งก่อนๆนั้นทหารอเมริกันยึดที่มั่นฝ่ายทาลีบันได้หลายแห่งพร้อมคลังกระสุนมากมายแต่กลับนำกระสุนเหล่านั้นมาใช้การไม่ได้เพราะหน้าตัดหัวกระสุนใหญ่กว่า ในขณะที่ปืนตระกูลM16ของสหรัฐฯใช้กระสุนขนาด5.56..มาตรฐานนาโต แต่กระสุนอาก้าที่ยึดได้กลับมีขนาด7.62..และคนละความยาวกับ7.62..ของM60หรือM240 ซ้ำตัวปลอกกระสุนยังแตกต่างจนใช้การไม่ได้กับอาวุธอเมริกัน

ทางออกของSR-47จากบริษัทไนท์ อาร์มาเมนต์(Knight Armament)คือการออกแบบลำกล้องปืนและช่องรับกระสุนเสียใหม่ให้ยิงกระสุนอาก้าได้ และเพื่อให้สามารถยึดกระสุนนี้มาใช้ได้โดยไม่ขัดเขินมันก็ใช้ซองกระสุนของอาก้าเสียบเข้าไปเลยง่ายๆ รูปร่างของSR-47จึงเป็นลูกผสมระหว่างปืนเล็กยาวM4 ที่เสียบซองกระสุนโค้งของอาก้า หน่วยรบพิเศษได้รับแจกSR-47เป็นอาวุธทดลองทั้งหมด3กองร้อยแล้วหลังจากเสร็จสิ้นยุทธการเมาเทน ฟิวรี่แล้วก็ไม่ปรากฎว่ากองทัพสหรัฐฯนำเอาปืนเล็กยาวชนิดนี้ไปใช้ที่ไหนอีก

ไม่ใช่เรื่องแปลกจริงๆสำหรับประเทศร่ำรวยที่สามารถจัดหายุทโธปกรณ์ให้ทหารของตนได้ไม่อั้น และไม่แปลกเช่นกันที่อาฟกานิสถานได้กลายเป็นสถานทดสอบอาวุธของกองทัพสหรัฐฯไปแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น