วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

ตอบจดหมายเรื่องซูดาน


เนื่องจากผู้อ่านท่านหนึ่งใช้ชื่อแฝงว่า"คนบนดอย"ได้กรุณาเขียนจดหมายมาแสดงความคิดเห็น ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่26กุมภาพันธ์ต่อบทความของผมในตอน"ซูดานกับทหารไทย" ท่านแสดงความคิดเห็นว่าที่ผมเห็นว่าซูดานมีโอกาสเกิดความรุนแรงนั้นผมอาจจะตื่นตระหนกเกินไปหรือเปล่า โดยได้แสดงความคิดเห็นสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้คือ 1.ซูดานสงบสุขมาตั้งแต่ปี2005ด้วยการลงนามในสัญญาสันติภาพกันระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ จนได้รัฐบาลที่มีเอกภาพมาปกครองแล้ว2.ทหารไทยเคยไปร่วมงานกับสหประชาชาติ(ยู.เอ็น.)มาแล้วในประเทศบุรุนดี หนึ่งในทวีปอาฟริกาซึ่งโหดและกันดารพอกัน ได้รับคำชมเชยจากยู.เอ็น.ด้วยจึงไม่น่าเป็นห่วงเพราะเรามีประสบการณ์ และ3.ถ้าทหารไทยไปซูดานจริงสภาพแวดล้อมก็จะเหมือนในภาพยนตร์เรื่องOut of Africaมีแต่ความสงบร่มเย็นรื่นรมณ์สุนทรีย์ การบอกว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์แบบBlackhawk Downนั้นคือการมองโลกในแง่ร้ายเกินไป ผมจึงขอใช้เนื้อที่ตรงนี้เพื่อตอบข้อข้องใจของท่าน ด้วยเกรงว่าหากตอบในหน้าตอบจดหมายอาจไม่พอเพราะมีรายละเอียดมาก

ในข้อสังเกตแรกนั้นผมขอตอบว่านั่นคือข้อมูลเมื่อปี2005แต่ปีนี้คือ2010 ที่คุณคนบนดอยว่าสงบนั้นจริงๆแล้วมีคลื่นใต้น้ำแน่ เพราะถึงจะมีสัญญาสันติภาพกันแล้วระหว่างกลุ่มJustice and Equality Movement(JEM)กับประธานาธิบดีของซูดาน นั่นก็เป็นการเจรจาหยุดยิงเฉยๆยังไม่มีใครยอมมอบอาวุธ ถ้าเกิดทั้งสองฝ่ายที่มีลูกน้องหนุนหลังอยู่เป็นพรวนเกิดไม่สบอารมณ์ด้วยเงื่อนไขบางประการขึ้นมา อาวุธที่ยังอยู่ในมือกลุ่มกำลังพวกนี้ครบถ้วนก็จะถูกขนออกมาถล่มกันแน่ ความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติและศาสนาในซูดานหยั่งรากลึกครับ การแค่จับมือกันแล้วจรดปากกาทำสัญญาสันติภาพคงหยุดความขัดแย้งแบบยั่งยืนไม่ได้

ผู้สื่อข่าวเจมส์ ค็อปนอลล์จากสำนักข่าวบีบีซีวิเคราะห์ไว้แล้วครับ(http://news.bbc.co.uk/2/hi/africa/8533097.stm) เมื่อวันที่23กุมภาพันธ์ปีนี้เอง ผมขออนุญาตไม่แปลบทความนี้ที่เขาวิเคราะห์ไว้ยาวเหยียดนะครับ แต่สรุปได้ว่าดาร์ฟูร์ไม่ใช่ที่ที่จะไปเดินเล่น ยู.เอ็นขอกำลังทหารราบของเราไปเพื่อคุ้มครองขบวนรถยนต์ลำเลียงปัจจัยเพื่อมนุษยธรรมที่นำไปแจกยังถิ่นกันดาร ซึ่งแต่ละพื้นที่นั้นอยู่ในเขตอิทธิพลของกลุ่มติดอาวุธต่างๆ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพวกอาฟริกันยูเนียนเองก็เอาไม่อยู่ คนน้อย เงินน้อย กำลังไม่พอ ได้งบประมาณมาก็รั่วไหล เขาจึงต้องขอกำลังสหประชาชาติซึ่งส่งผ่านคำขอมายังสมาชิกอย่างเรา

ข้อ2ที่ท่านได้กรุณาให้ข้อมูลว่าเราเคยส่งทหารไปทำหน้าที่แล้วในบุรุนดีกับกองกำลังUNUB นั้น ผมขอขอบคุณ แต่ใคร่ชี้แจงว่าที่ไปบุรุนดีนั้นเป็นทหารช่างเพื่อไปซ่อมสร้างระบบสาธารณูปโภค อาคารสถานที่ มีคนคอยคุ้มกันให้ทำงานได้สบายๆอยู่แล้วไม่ได้ให้ไปคุ้มกันขบวนคอนวอยเหมือนในดาร์ฟูร์ครั้งนี้ การไปช่วยเหลือใครๆนั้นได้บุญกุศลแน่แต่เราเองล่ะพร้อมแค่ไหน กองกำลังที่ต้องเตรียมพร้อมในระดับของurban warfareนั้นได้ฝึกฝนและมีสิ่งอุปกรณ์พร้อมหรือเปล่า? ผมต้องแสดงความเป็นห่วงเพราะรู้มาว่ามันไม่พร้อม สิ่งอุปกรณ์ที่จะให้ทหารติดตัวไปนั่นยังเป็นรูปแบบเดียวกับที่ไปติมอร์อยู่ มุ่งเน้นปฏิบัติการจิตวิทยาเต็มที่แต่นี่ไม่ใช่ เราไปคุ้มกันขบวนรถลำเลียงอาหารและปัจจัยเพื่อมนุษยธรรมจากยู.เอ็น. ไม่ต้องป...แล้ว

ที่ว่ากองทัพได้พิจารณาถี่ถ้วนแล้วนั้นผมไม่เถียงครับ ไม่ได้บอกว่าเราบุ่มบ่าม เราคิดดีแล้วจึงส่งคนไปแต่เรื่องความพร้อมล่ะแค่ไหน? ให้ทหารสวมแผ่นเกราะlevel 3หรือที่ป้องกันได้มากกว่านั้นหรือไม่? ยังคิดจะเอาโปงลางไปเล่นเหมือนที่ติมอร์หรือเปล่า? ทหารได้มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในค่ายฝึกเป็นเดือนได้ยิงกระสุนอย่างพอเพียง หรือฝึกกันแค่สองอาทิตย์แล้วยิงปืนเล็กยาวกันไม่เกินวันละห้าสิบนัด? สถานการณ์ไม่ได้รุนแรงก็จริงในตอนนี้แต่ยังมีเหตุการณ์ยั่วยุประปราย มีรายงานจากกองกำลังUNAMIDที่ทหารเราจะไปสมทบมาเมื่อกลางปีที่แล้วดังนี้ครับ

El Fasher, 8 May 2009 – (UNAMID):At approximately 20:30 hours, unidentified gunmen shot the male military observer as he was opening the gate of his residence in Nyala, the state capital, to park his vehicle. The peacekeeper was rushed to a nearby UNAMID medical centre for treatment but died upon arrival ถอดความได้ว่า"ในเวลาประมาณสองทุ่มครึ่งมีกลุ่มมือปืนบุกยิงผู้สังเกตการณ์ทางทหาร ขณะกำลังเปิดประตูบ้านในเมืองไนอาลาเมืองหลวงของดาร์ฟูร์ เพื่อจอดรถ เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพผู้นี้ถูกนำส่งโรงพยาบาลของUNAMIDใกล้ที่สุดแล้วแต่เสียชีวิตเมื่อถึงโรงพยาบาล" ขนาดแค่ไปสังเกตการณ์มันยังยิง!

ข่าวจากUNAMIDเช่นกัน แจ้งว่า เมื่อ29 ..2009 กกล.ติดอาวุธโจมตี ขบวน ของ UNAMID ซึ่ง คุ้มครอง ขบวน รถบรรเทาทุกข์ระหว่างที่เดินทาง อยู่ในเขต เอล เกไนนา(El Geneina) ในดาร์ฟูร์ตะวันตก ผล จนท.UNAMID ตาย2 นายบาดเจ็บ ๒ นาย(ผมขอไม่ยกภาษาอังกฤษมาอ้างล่ะเพราะจะยืดยาวเกินไป) คราวนี้ขบวนคุ้มครองคอนวอยของUNAMIDโดนถล่มเองทั้งที่ติดเครื่องหมายยู.เอ็น!

อีกชิ้นหนึ่งยาวยืดไปนิด แต่อยากให้ดูกันคือรายงานจากUNAMID ซึ่งถือว่าเป็นภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้น ตามนี้:23 November 2009 -- Increased threats to international staff in Darfur, including “extremely alarming” kidnappings, ongoing military action by Chad, Sudan and rebels, and Government limits on peacekeepers’ movements continue to hamper efforts to stabilize the Sudanese area torn apart by nearly seven years of war, says a new report by United Nations Secretary-General Ban Ki-moon. อันนี้นายบัน คี มูน เลขาธิการยูเอ็นพูดเองผมไม่ได้นั่งเทียนแต่งขึ้นครับ ดูจากวันที่จะเห็นว่าสดๆเลยคือปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้คือแค่บางส่วน หากจะแสดงรายงานกันทั้งหมดคงได้บทความใหม่ยาวเหยียดอีกหลายตอน

เขตรับผิดชอบของUNAMIDที่เราจะไปสมทบยังตึงเครียดคาดเดาอะไรไม่ได้เอาเลย ยังมีการต่อสู้ด้วยอาวุธเบาและหนักประปรายตลอดตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้วถึงปัจจุบันเป็นสิบครั้ง โดยเฉพาะในเขตใต้(sector south)ของดาร์ฟูร์ที่เมืองชีอาเรียห่างจากไนอาลาไป70..ระหว่างกลุ่มอำนาจที่รัฐบาลหนุนกับฝ่ายกบฏ ผลคือตายไปข้างละสองศพเมื่อเดือนกันยายน ถัดมาคือเมื่อธันวาคมก็มีการปะทะกันอีกในหมู่บ้านเนเกฮาตรงรอยต่อระหว่างคอฮ์ อาเบเชกับชีอาเรียในเขตใต้ ครั้งนี้ตาย7เจ็บ6ทั้งหมู่บ้านวอดไม่เหลือจนชาวเมืองพลัดถิ่นถึง14,000คน ทั้งยู.เอ็น.และเอ็น.จี.โอตอนแรกเข้าไม่ถึงเพราะกลุ่มติดอาวุธที่ยังครองพื้นที่ขู่จะโจมตี แต่ปัจจุบันเข้าไปแจกของได้แล้ว ที่ใกล้เข้ามาหน่อยคือเดือนมกราคมนี้จนถึงปัจจุบัน เกิดการสู้รบขึ้นในเมืองเดริบาตเขตยึดครองของกลุ่มอับเดล วาฮีด คาดว่ามีผู้เสียชีวิต200-400ศพ ประชากรเดือดร้อนจากสงครามมากกว่า40,000คน กลุ่มติดอาวุธไม่ยอมให้ยู.เอ็น.เข้าไปตรวจสอบและขู่ว่าจะฆ่าไม่เหลือหากยังฝ่าฝืน

ไม่ว่าคนนอกดาร์ฟูร์จะมองสถานการณ์่ว่าอย่างไรก็ตามUNAMID สรุปไว้ชัดๆ "ณ ปัจจุบันสำหรับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเขต South Darfur สถานการณ์ยังคงอยู่ในลักษณะค่อนข้างเปราะบางและไม่สามารถคาดการณ์ได้ "

ดังนั้นหากจะบอกว่าเราได้บุญกุศลจากการไปซูดานผมก็เห็นด้วย แต่ความพร้อมของทหารในระดับ"หน่วยรบ"ล่ะอยู่ตรงไหน เห็นผอมๆเหมือนกระดูกเดินได้นั่นพวกอาฟริกันไม่โง่หรอกครับ พวกนี้จะจับตาดูทหารเราและยูเอ็น.ตั้งแต่ก้าวลงจากเครื่องบิน อยากรู้ว่าเรา"เจ๋ง"หรือไม่แค่ลองถล่มฐานดูวันแรกก็รู้แล้ว ว่าเราจะสับสนอลหม่านหรือรวมกำลังกันตั้งรับอย่างเป็นระบบ ทหารรีบคว้าอาวุธแล้ววางแนวป้องกันฐานหรือนั่งร้องไห้เรียกหาแม่ก็จะได้เห็นกันตอนนี้ ได้บุญได้กุศลแต่ไม่พร้อมเพราะประมาทก็จะเหมือนเอากองทัพไทยไปขายหน้าเท่านั้น มันอาจจะร้ายยิ่งกว่านั้นถ้าคนของเราตายขึ้นมา ต้องแยกให้ออกนะครับว่าระหว่างคนตัดสินใจส่งคนไปรบกับคนที่ทำงานในระดับยุทธวิธีน่ะมันต่างกัน นายสั่งได้แต่ลูกน้องล่ะมีคนดูแลเขาดีแค่ไหน มีสิ่งอุปกรณ์ไว้รักษาชีวิตแค่ไหน? ลองคิดด้วยตรรกะสักนิดว่าถ้าอะไรๆมันสงบเรียบร้อยอยู่แล้วยู.เอ็นจะเข้าไปทำไม?

ตรงนี้แหละที่ผมตั้งคำถาม เพราะเราใช้ทหารราบซึ่งเป็นหน่วยรบในดาร์ฟูร์ ไปคุ้มครองขบวนรถลำเลียงอาหารและเครื่องเวชภัณฑ์ ต้องอยู่ในส่วนล่อแหลมต่อการถูกโจมตี ไม่ใช่ไปนั่งโต๊ะเคาะคีย์บอร์ดหรือขับแทรคเตอร์สร้างทางในวงล้อมของทหารอาวุธครบมือคอยคุ้มกันให้ โดยเราขนอาวุธไปเองแต่ยู.เอ็นจ่ายค่าเช่าอาวุธ ไม่ได้ไปใช้อาวุธของเขา

ในข้อ3ที่ผมบอกว่าสถานการณ์เปรียบเทียบได้กับBlack Hawk Downนั้น ผมตั้งใจจะหมายความถึง"ถ้า"เกิดเรื่องขึ้นมาเราอาจจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ตอนนี้ยังสงบแต่"ถ้า"มันถล่มกันตอนเราทำหน้าที่ล่ะจะว่าอย่างไร ฝึกให้หนัก หาของให้ทหารไว้ให้พร้อมก่อนไม่ดีหรือจะได้ไม่ต้องเสียน้ำตา หรือถ้าจะคิดว่าชีวิตทหารของเรามันไม่มีค่าก็ไม่ว่ากันครับ จะได้บอกลูกชายเพื่อนๆว่าโตขึ้นอย่าเป็นทหาร หาทางเป็นนักการเมืองให้ได้ดีกว่าทั้งรวยทั้งสบาย

ขอบคุณคุณคนบนดอยครับที่กรุณาแนะนำให้ดูภาพยนตร์Out of Africa ผมเองก็ได้ดูแล้วหลายครั้งครับ นิยายของบารอนเนสคาเรน บลิกเซน ฟินเน็กซ์คุณหญิงนักเขียนชาวเดนมาร์ค(ใช้นามปากกาว่าไอแซ็ค ไดนีเซน)เรื่องนี้ผมก็อ่าน เธอตามท่านบารอนบรอว์ บลิกเซน ฟินเน็กซ์สามีไปทำไร่กาแฟที่นั่น ทิวทัศน์ของอาฟริกาสวยงามจริง มีน้ำตกมีทะเลสาปมีทุ่งหญ้าเห็นกวางวิ่งนกบินเหมือนภาพฝัน ประโยคเด็ดที่คาเรนพูดตอนนั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรกคือ"เดนิส ฟินซ์ ฮัตตันทำให้ฉันได้เห็นโลกด้วยสายตาของพระเจ้า" แต่บังเอิญคุณบารอนเนสเธอไปทำไร่กาแฟไม่ได้ไปถือปืนM4คุ้มกันคอนวอยอาหารและยา ไม่ต้องสวมหมวกเคฟลาร์ใส่เสื้อเกราะหนักอึ้งเพื่อป้องกันกระสุนปืนอาก้าขนาด7.62..

สถานการณ์ของคาเรน บลิกเซนจึงไม่เหมือนที่ทหารของเรากำลังจะเจอ ถ้าอยากจะสุนทรีย์ก็ต้องตีตั๋วนักท่องเที่ยวซึ่งคงได้ไปเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวอันปลอดภัยที่เขาจัดไว้ให้ อารมณ์ดาร์ฟูร์ในปี2010กับเคนยาในปี1924 มันคนละอารมณ์กันครับ และรู้สึกขอบคุณที่คุณ"คนบนยอดดอย"ได้สละเวลาอันมีค่าแสดงความคิดเห็นมา


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น