วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

ค้าอาวุธก็รวยอยู่แล้ว แต่ทำไมต้องเถื่อน?(จบ)



ดังที่กล่าวไว้ในสามตอนที่แล้ว ว่าการค้าอาวุธทางลับโดยรัฐบาลนั้นมีจุดประสงค์เพื่อก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรัฐเป้าหมาย แต่การค้าอาวุธโดยเอกชนนั้นไม่ใช่เพื่อให้ส่งผลทางการเมืองแต่เพื่อความร่ำรวยของคนหรือกลุ่มบุคคลผู้กระทำการเพียงกลุ่มเดียว เป็นได้ทั้งการติดต่อซื้อขายตามความต้องการของรัฐหรือเอกชนอย่างลับๆ และการยอมตัวเป็นช่องทางเพื่อส่งอาวุธเพื่อแลกกับผลประโยชน์ก้อนโต เมื่อพูดถึงการค้าอาวุธเถื่อนโดยเอกชนชื่อหนึ่งที่เด่นขึ้นมาคือวิคตอร์ อนาโตลเยวิช บูท นักธุรกิจชาวรัสเซียผู้ถูกจับกุมในโรงแรมเซ็นทรัลโซฟิเทล กรุงเทพฯ เมื่อวันที่6มีนาคม 2008 ด้วยความร่วมมือระหว่างตำรวจไทยและตำรวจสากล โดยการวางแผนซ้อนแผนของเจ้าหน้าที่สำนักต่อต้านยาเสพติด(Drug Enforcement Administration:DEA)ของสหรัฐฯ

ข้อหาคือส่งอาวุธเถื่อนให้กับกองกำลังปฏิวัติโคลัมเบีย(FARC) แต่จริงๆแล้วกว่าจะดำเนินการมาถึงขั้นนี้ได้ตำรวจสากลและกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯสืบพบเงื่อนงำอันซับซ้อนมากมายเกี่ยวกับเขา ซึ่งแม้จะดูเหมือนหลักฐานทุกอย่างพากันชี้นิ้วมาที่บูทก็จริง แต่พอสืบลึกลงไปก็กลายเป็นว่าไม่สามารถจับให้มั่นคั้นให้ตายได้เสียทุกที

บูทมีกำเนิดเป็นชาวทาจิกิสถานซึ่งเป็นรัฐหนึ่งในสหภาพโซเวียตก่อนล่มสลาย ด้วยอดีตที่เปิดเผยว่าเคยเป็นทหารยศร้อยโทในกองทัพบกโซเวียตแต่ก็บางแหล่งข่าวอ้างว่าเขามียศเป็นพันตรี ไม่ใช่แค่ยศของเขาเท่านั้นที่สับสน เอาแค่ถิ่นเกิดก็ไม่แน่นอนแล้วในเมื่อเอกสารของสหประชาชาติ(United Nation:UN)อ้างว่าบูทเกิดที่กรุงดูชานเบเมืองหลวงของทาจิกิสถาน แต่เอกสารของรัฐบาลอาฟริกาใต้กลับอ้างไปคนละทางในปี2001ว่าเกิดในยูเครน พื้นฐานด้านการศึกษาก็คลุมเครือไม่แพ้กัน ที่อ้างตรงกันคือจบการศึกษาจากสถาบันภาษาของกองทัพโซเวียตจนเชี่ยวชาญถึงหกภาษา นอกจากภาษาทาจิกิสคือรัสเซีย,ปอร์ตุเกส,อังกฤษ,ฝรั่งเศสและภาษาอาหรับ ข้อมูลจากเว็บไซต์ส่วนตัวของบูทบอกว่าเขาทำงานเป็นล่ามให้กองทัพบกโซเวียตช่วงรุกรานอาฟกานิสถาน แต่แหล่งข้อมูลจากชาติตะวันตกอ้างว่ามียศถึงพันตรีในหน่วยข่าวกรองทหารคือจีอาร์ยู ซึ่งเป็นทั้งหน่วยข่าวกรองและหน่วยรบพิเศษในหน่วยเดียวกัน ยังมีความสับสนอีกในด้านนี้เมื่อบ้างก็อ้างว่าเป็นทหารอากาศหรือไปไกลถึงเป็นสายลับของสำนักประมวลข่าวกลางของโซเวียตหรือเคจีบี

หลังจากโซเวียตล่มสลายแล้วบูทออกจากกองทัพมาดำเนินธุรกิจถูกกฎหมาย คือการเปิดบริษัทการบินรับเช่าบรรทุกสินค้าทุกประเภทตั้งแต่หอมกระเทียมไปจนถึงเครื่องจักร ส่งตามที่ต่างๆซึ่งส่วนใหญ่คืออาฟริกาและตะวันออกกลางช่วงทศวรรษที่1990ถึงต้น2000 ข้อมูลชัดๆตอนนั้นคือเครื่องบินของเขาส่งของให้ชาร์ล เทย์เลอร์ประธานาธิบดีประเทศไลบีเรียจากปี1997ถึง2003 ที่เคยเป็นหัวหน้ากองกำลังติดอาวุธใหญ่ที่สุดในช่วงสงครามกลางเมืองครั้งแรกของประเทศนี้ช่วงต้นทศวรรษ1990แต่ปัจจุบันถูกจองจำในทัณฑสถานของยูเอ็น เพราะบูทไม่ได้ตั้งบริษัทเพื่อส่งของให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเขาจึงให้บริการด้วยทั้งกับยูเอ็นที่มีภารกิจในซูดานและกับสหรัฐฯเมื่อต้องการลำเลียงสินค้าและสิ่งอุปกรณ์ต่างๆเข้าอิรัก มีข้อสันนิษฐานว่าบูทเคยขนอาวุธให้ฝ่ายที่กำลังทำสงครามกลางเมืองในอาฟริกาหลายประเทศที่เครื่องบินของเขาไปลงด้วยในทศวรรษ1990 แต่ก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่เคยจับได้คาหนังคาเขาพอจะยืนยันได้ชัดๆ

ขณะที่ตัวเองอ้างว่าทำแค่มีเครื่องบินลำเลียงไว้ให้เช่าส่งสินค้าตามปกติ นายปีเตอร์ เฮนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษยังตั้งสมญานามให้บูทว่า"นักแหกแซงชั่น"(sanction buster)และอีกชื่อหนึ่งที่ทำให้ภาพของบูทง่ายขึ้นต่อการจดจำคือ"นักค้าความตาย"(merchant of death) เฮนระบุว่าบูทใช้เครื่องบินเพื่อลำเลียงอาวุธจากยุโรปตะวันออกโดยเฉพาะจากบัลแกเรีย,โมลโดวาและยูเครน เข้าสู่ไลบีเรียและแองโกลา โดยเฉพาะยูเครนนั้นผมเคยได้เสนอรายละเอียดไปในตอนก่อนว่าเป็นแหล่งอาวุธเถื่อนใหญ่อันดับต้นๆของโลก จากการมีอาวุธตกค้างของกองทัพโซเวียตทิ้งไว้มหาศาลตั้งแต่ปืนเล็กยาวถึงขีปนาวุธต่อสู้อากาศยาน

แม้จะมีข้อกล่าวหาจากคนเป็นถึงรัฐมนตรีต่างประเทศว่าค้าความตาย เพราะขนอาวุธเข้าเขตสงครามกลางเมืองก็ตาม บูทกลับไม่เคยถูกดำเนินคดีในข้อหาขนอาวุธเถื่อนเลย ซึ่งน่าสันนิษฐานได้ว่าหากไม่มีแบ็คดีก็คงต้องดำเนินการทุกอย่างได้แนบเนียน เขาขนส่งทั้งเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของยูเอ็น ทหารฝรั่งเศสและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอาฟริกา ดอกไม้กับไก่แช่แข็งบูทก็ขน ไม่เคยปรากฎเลยสักครั้งที่ถูกตรวจค้นว่าเขาขนของผิดกฎหมาย แม้แต่เหล้าเถื่อนสักขวดก็ไม่มี

เขาจึงอ้างได้เต็มปากตลอดเวลาที่ประกอบธุรกิจว่าบริสุทธิ์ บูทขนของให้ทุกคนที่มีเงินจ่ายตั้งแต่ชาร์ล เทย์เลอร์ของไลบีเรียไปจนถึงยูเอ็น,รัฐบาลฝรั่งเศส แม้แต่รัฐบาลสหรัฐฯเองก็ยังใช้บริการของบูท แต่ชื่อเล่นที่ได้มาว่า"นักแหกแซงชั่น"ของบูทคงจะไม่ได้มาลอยๆแน่ถ้าไม่ไปขนของให้ประเทศซึ่งยูเอ็นประกาศห้ามขนอาวุธเข้า เช่นแองโกลา,ไลบีเรีย,เซียรา ลีโอนและสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก แสดงว่าหน่วยข่าวกรองของอังกฤษน่าจะได้กลิ่นตุๆจากกิจกรรมของบูทมาบ้าง เมื่อบริษัทของเขามีเที่ยวบินจากประเทศที่ขึ้นชื่อด้านการค้าอาวุธเถื่อนเข้าไปยังประเทศปิด ที่คนจากองค์กรโลกเข้าตรวจสอบไม่ได้และยังมีการสู้รบกันอยู่ในประเทศเหล่านั้น ถึงจะบอกว่าไม่ได้ขนอาวุธแต่ฝ่ายต่างๆที่ทำสงครามกลางเมืองกันอยู่จะเอาปืนผาหน้าไม้จากไหนมาใช้กันเป็นปีๆ?

รายงานของยูเอ็นชิ้นหนึ่งในปี2000ระบุว่า"...กลุ่มบริษัทผลิตอาวุธของบัลแกเรีย ได้ส่งออกอาวุธหลายชนิดและจำนวนมากตั้งแต่ปี1996ถึง1998ด้วยใบสั่งซื้อปลอมจากประเทศโทโก"และ"...ให้ใช้บริษัทแอร์ เซสส์ซึ่งวิคตอร์ บูทเป็นเจ้าของเป็นหลักเพื่อขนอาวุธดังกล่าวจากท่าอากาศยานบูร์กาซในบัลแกเรีย" ใบสั่งซื้อปลอมเป็นของโทโกก็จริงแต่อาวุธจำนวนนี้อาจถูกส่งต่อให้กบฎยูนิตาในแองโกลาได้ ระหว่างสงครามกลางเมืองที่เกิดตั้งแต่ปี1975ถึง2002 ผู้ต้องสงสัยว่าจะค้าอาวุธเถื่อนชาวเลบานอนอีกคนคืออิมัด คาบีร์ก็เคยใช้บริการทางอากาศของบูทในช่วงกลางทศวรรษ1990 เพื่อส่งอาวุธจากยุโรปตะวันออกเข้าอาฟริกา ด้วยใบสั่งปรากฎชื่ออื่นแต่ท้ายที่สุดอาวุธก็ไปอยู่ในมือกบฎยูนิตาเช่นเคย ทั้งที่จากปี1993เป็นต้นมานั้นแองโกลาถูกยูเอ็นห้ามนำเข้าอาวุธสงครามทุกประเภทเนื่องจากประชาชนอดอยากแทบไม่มีกินอยู่แล้ว แต่กลุ่มอำนาจต่างๆยังรบราฆ่าฟันแย่งชิงอำนาจกันเองอุตลุต เมื่อยูเอ็นส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบไม่ได้หนทางเดียวคือต้องปิดกั้นห้ามส่งยุทธปัจจัยเข้าไป แต่หนทางใดเล่าที่จะง่ายเท่าการส่งทางอากาศซึ่งไม่ได้ตรวจสอบจากต้นทาง และปลายทางก็ห้ามตรวจสอบเมื่อสนามบินอยู่ในมือกลุ่มอำนาจที่ต้องการอาวุธ

ทำงานอย่างหมิ่นเหม่มานานในที่สุดชื่อของบูทก็เข้าตาซีไอเอ เมื่อกลุ่มอัล ไคดาเคลื่อนย้ายทั้งทองและเงินสดออกจากอาฟกานิสฐานหลังจากสหรัฐฯส่งทหารเข้าไปตามเหตุการณ์9/11 แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้อ้างว่าเครื่องบินที่ใช้เพื่อช่วยสมุนบิน ลาเด็นขนของนั้นเมื่อสืบให้ลึกแล้วพบว่าพัวพันกับคนชื่อวิคตอร์ บูท ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าเขาเคยเข้าไปในอาฟกานิสถานบ่อยๆเริ่มแต่ปี1994 เคยขนของให้รัฐบาลก่อนยุคของพวกทาลีบันที่ภายหลังได้กลายมาเป็นพันธมิตรฝ่าย เหนือช่วยสหรัฐฯไล่บี้พวกทาลีบันในปัจจุบัน อ้างว่ารู้จักกับอาห์เม็ด ชาห์ มาซูดหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรฝ่ายเหนือจริง แต่ปฏิเสธแข็งขันว่าไม่เคยข้องแวะเลยกับอัล ไคดาหรือพวกทาลีบันที่สหรัฐฯต้องการปราบ การย้ายที่ทำงานอยู่เรื่อย มีชื่อเป็นเจ้าของอยู่หลายบริษัทและจดทะเบียนเครื่องบินบ่อย ทำให้หน่วยงานทางการที่เฝ้าดูอยู่ตั้งข้อหากับเขาได้ยาก บูทจึงไม่เคยถูกตั้งข้อหาค้าอาวุธเถื่อนเลยทั้งที่ชื่อกระฉ่อนขนาดนั้น

พอเล่นงานตรงๆเรื่องค้าอาวุธเถ่ื่อนไม่ได้ก็ต้องหาข้อหาอื่นมาจัดการ รัฐบาลเบลเยียมร้องต่อองค์การตำรวจสากล(INTERPOL)ด้วยข้อหาว่าฟอกเงินในปี2002 ทางอินเทอร์โพลจึงออกหมายจับและพิจารณาส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามออกมา เว็บไซต์ของบูทอ้างเช่นกันว่าเบลเยียมต่างหากที่มีหมายจับเขาเพราะไม่ไปให้การต่อศาลตามหมายเรียก ไม่ใช่อินเทอร์โพล แต่ภายหลังไม่นานหมายนั้นก็ถูกยกเลิก และเว็บไซต์ดังกล่าวยังอ้างเอกสารในภาษาดัทช์เพื่อสนับสนุนคำอ้างด้วยว่าคดีของเบลเยียมนั้นศาลไม่รับฟ้อง ถ้าเบลเยียมกับอินเทอร์โพลยังเอาวิคตอร์ บูทไม่อยู่ก็ต้องใช้อะไรที่ใหญ่กว่านั้นเข้ามาจัดการ

เพียงแค่พบแน่ชัดว่าบูทมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชาร์ล เทย์เลอร์แห่งไลบีเรีย ก็เพียงพอแล้วที่รัฐบาลสหรัฐจะยึดทรัพย์สินของเขาทั้งหมดรวมถึงคนอื่นๆที่เกี่ยวข้องในอเมริกาเมื่อเดือนกรกฎาคม2004 ตามคำสั่งประธานาธิบดีหมายเลข13348 ซึ่งระบุตัวบูทว่าเป็น"ผู้ประกอบการ,ผู้ติดต่อจัดหาและขนส่งอาวุธและแร่ธาตุใดๆ"อันขัดต่อกฎหมาย นำมาซึ่งการจับกุมตัวเขาในเมืองไทยและปัจจุบันนี้ยังถูกจองจำในเรือนจำคลองเปรม ยังส่งตัวผู้้ร้ายข้ามแดนไม่ได้เพราะสหรัฐฯยังไม่ได้ตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการต่อบูท แต่ในเดือนสิงหาคมปีที่แล้วศาลไทยก็ตัดสินว่าไม่ต้องส่งตัวบูทให้สหรัฐฯ ในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของรัสเซียแถลงว่า"พึงพอใจต่อการตัดสินนี้และหวังว่าวิคตอร์ บูทจะได้กลับสู่บ้านเกิดในอนาคตอันใกล้"

กรณีการค้าอาวุธเถื่อนของวิคตอร์ บูททำให้เข้าใจได้ว่าเขาคงไม่ได้ดำเนินการแต่ลำพัง ต้องมีคนที่ใหญ่กว่านั้นอยู่เบื้องหลังเพื่อใช้เขาเป็นหมากตัวหนึ่งในการหาประโยชน์จากอาวุธเถื่อนมูลค่ามหาศาล บูทต้องรู้อะไรมากแต่ต้องยังมีประโยชน์อยู่จึงยังรอดชีวิตอยู่ได้ทั้งที่เป็นที่ต้องการตัวในหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯที่อ้างว่าเขาพัวพันกับบิน ลาเด็น

ส่วนกรณีการค้าอาวุธเถื่อนที่เพิ่งเป็นข่าวไปในปีที่แล้ว หลังจากจับกุมได้ที่สนามบินดอนเมืองนั้นต้องถือว่าเป็นรูปแบบที่เหมาะต่อการขนอาวุธ เนื่องจากเครื่องบินนั้นถ้าไม่ขัดข้องจนต้องร่อนลงจอดในประเทศที่ไม่เป็นมิตรก็จะไม่ถูกตรวจสอบ ต่างจากเรือที่เจ้าหน้าที่สามารถนำเรือเทียบแล้วนำกำลังขึ้นตรวจค้นได้ ตราบใดที่มันไม่ติดอาวุธและไม่ได้มีทีท่าเป็นภัยคุกคามกับใคร เครื่องบินรบย่อมไม่สามารถยิงเครื่องบินลำนั้นให้ตกได้ นอกจากนำเครื่องเข้าเทียบ ยิงขู่ แต่ถ้ายังไม่ยอมลงจอดก็คงทำได้แค่จดหมายเลขหางและลำตัวเครื่องบินเพื่อรายงานตามลำดับขั้นเท่านั้น การยิงเครื่องบินพลเรือนให้ตกถือเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศ

ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวพันกับกิจการของวิคตอร์ บูท แต่เครื่องบินอิลยูชิน อิล-76ลำนี้ก็บินขึ้นลงเป็นประจำอยู่แล้วในไทยด้วยรูปแบบเดียวกันคือขนส่งสินค้าตามปกติ เช่นเครื่องจักรกล ชิ้นส่วนเครื่องบิน อาหารสดและแห้ง,ดอกไม้และพืชเศรษฐกิจตามแต่ใครจะเช่าเหมาลำ ที่ไม่ไปลงพม่าทั้งที่น่าจะสนิทกับรัสเซียมากกว่าก็เพราะใช้สนามบินของเราอยู่แล้วตามแผนการบินปกติ และสิ่งอำนวยความสะดวกของไทยก็ดีกว่า ไม่รวมถึงชีวิตกลางคืนที่สุดแสนเร้าใจสำหรับนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย เพราะมีข่าวมาจากภายนอกว่าอาจมีของผิดกฎหมายซุกซ่อนรัฐบาลจึงต้องตรวจค้น เมื่อค้นแล้วพบถ้าไม่ดำเนินการก็ผิดอีกฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนจะดำเนินการต่อไปอย่างไรนั้นทางยูเอ็นจะเป็นผู้ดูแล โดยเราต้องเก็บของกลางไว้ก่อนเพื่อรอคำสั่งจากเขาอีกที แต่เรื่องจะเอาอาวุธนั้นมาใช้คงยากเพราะทางยูเอ็นระบุไว้ว่าต้องทำลายเท่านั้น

การค้าอาวุธเถื่อนจะต้องมีอยู่ต่อไป ตราบใดที่ในหลายส่วนของโลกยังมีสงครามกลางเมืองที่ต้องใช้อาวุธถูกกฎหมายไม่ได้ ตราบนั้นก็ต้องมีตัวกลางหรือผู้แทนสักคนที่คอยสนองตอบความต้องการด้วยราคาสูงลิ่ว เพราะผลประโยชน์มหาศาลแท้ๆที่ทำให้กิจกรรมเช่นนี้ซึ่งแม้จะขัดต่อศีลธรรมก็ยังดำรงอยู่ได้ และยังไม่มีโอกาสที่จะหมดไปในอนาคต

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ4 พฤษภาคม 2553 เวลา 16:12

    ขอบคุณมากครับสำหรับความคิดดีๆ การนำเสนอข้อมูลที่น่าเชื่อถือ มีมุมมองใหม่ๆ ด้วย

    ตอบลบ