วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

นั่งL39ไปดูการฝึกใช้อาวุธ!(3)




ดังกล่าวในตอนที่แล้วว่าการบินในวันนี้เป็นหมู่บิน2หมู่ หมู่ละ 4เครื่อง นักบินจึงต้องมีหมายเลขของตนเพื่อสะดวกแก่การปฏิบัติภารกิจตั้ง L39ลำที่ผมนั่งจึงมีหมายเลข4ของการฝึกในวันนั้นๆ แต่หมายเลขประจำเครื่องคือ40101อันหมายถึงฝูง401และเป็นเครื่องหมายเลข1 หลังจากแต่งตัวเสร็จนักบินก็เดินมาตรวจสภาพด้วยสายตากับเครื่องบินของตนเอง โดยจะเดินดูสภาพเครื่องไปรอบๆหาร่องรอยความผิดปกติ แล้วจับอุปกรณ์บางชิ้นโยกเพื่อความมั่นใจ เมื่อพบว่าไม่มีความผิดปกติใดๆกับเครื่องบินจึงไต่ขึ้นนั่งในค็อกพิท(ห้องนักบิน) รัดเข็มขัดสี่จุดพร้อมติดเครื่องเมื่อได้รับสัญญาณ

ถึงแม้L39จะเป็นเครื่องบินฝึก/โจมตี2ที่นั่ง แต่ในการฝึกใช้อาวุธนักบินต้องบินเดี่ยว ทุกเครื่องที่ขึ้นจึงมีนักบินเครื่องละ1นายเว้นแต่เครื่องของผมและอีกเครื่องหนึ่งที่ขึ้นไปบันทึกภาพการฝึก นอกจากจะไม่ได้ใช้งบประมาณเกินปกติแล้วยังไม่มีนักบินท่านใดต้องสละที่นั่งเพื่อให้ผมขึ้นบินด้วย

ติดเครื่องแล้วยังไม่ใช่ว่าจะบินได้เลย นักบินทั้งหมดต้องนำเครื่องแล่นช้าๆไปจอดให้ช่างตรวจสอบอีกครั้งตรงปลายทางวิ่งก่อนบิน พบว่าเรียบร้อยดีจึงทยอยกันมาจอดเรียงลำดับตั้งแต่หมายเลข1ถึง8เตรียมขึ้น เครื่องของผมเป็นลำดับ4จึงต้องให้ลำดับที่1ถึง3ขึ้นก่อน

เราบินขึ้นจากสนามบินตาคลีเวลาประมาณ10.40. แล้วขึ้นไปเกาะหมู่กันหลังจากนั้นอีกประมาณ5นาทีด้วยรูปขบวนหมู่บินเอคีลอน(Echelon) เป็นการแปรขบวนที่เครื่องบินเครื่องซ้ายสุดหรือขวาสุดเหลื่อมอยู่หน้าสุด เครื่องถัดมาวางตัวเหลื่อมจากเครื่องแรกให้ปลายจมูกเครื่องอยู่ประมาณปลายปีกของเครื่องบินเครื่องแรก ลดหลั่นกันเป็นขั้นเหมือนบันได การแปรขบวนเอคีลอนวันนี้เป็นรูปหมู่บินเอคีลอนขวา ตามรูปแบบการฝึกใช้อาวุธขั้นมูลฐานบ็อกซ์ แพทเทิร์นที่จะวนตามเข็มนาฬิกากลับมาเข้าวงรอบเดิม หมายความว่าเครื่องบินเครื่องแรกจะอยู่ขวาสุดและจะแยกตัวเลี้ยวลงใช้อาวุธเป็นเครื่องแรกตามด้วยลำดับต่อมาทีละเครื่อง ครบวงรอบตามเข็มฯแล้วจึงกลับมาใช้อาวุธประเภทต่อไปทำลายเป้า หมู่บินเอคีลอนดังกล่าวนี้ใช้เพื่อแสดงความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการบินนั่นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคือเพื่อความปลอดภัยและง่ายต่อการปฏิบัติ เมื่อเครื่องบินแยกจากหมู่บินไปตามลำดับ

ด้วยระยะทางเป็นเส้นตรงจากตาคลีถึงสนามฝึกใช้อาวุธชัยบาดาล90.. นักบินของผมบอกว่าเราจะใช้เวลาเพียง10กว่านาทีเท่านั้นก็ถึงเป้า เมื่อบินเกาะหมู่แล้วยังไม่หมดการตรวจสอบ หัวหน้าหมู่บินแต่ละหมู่ยังต้องบังคับเครื่องบินลอดใต้ท้องเครื่องของลูกหมู่ไล่ไปทีละลำเพื่อตรวจสอบซ้ำ ถ้าพบความผิดปกติเช่นระเบิดห้อยโตงเตงเพราะน็อตยึดหลุดหรือน้ำมันเครื่องรั่วซึม เครื่องบินเครื่องนั้นก็ต้องยกเลิกภารกิจบินกลับฐาน

นักบินในฝูงพูดวิทยุโต้ตอบกันตลอดเวลาด้วย"คอลไซน์"(call sign)หรือในภาษาไทยว่า"นามเรียกขาน" ซึ่งพวกเขาจะได้มาตั้งแต่เป็นศิษย์การบินและใช้ไปตลอดจนกว่าจะเลิกบิน นามเรียกขานที่ดูเหมือนตลกอย่างฮอลลีวูด,เจได,โยดาหรืออื่นๆนี้ไม่ได้ตั้งขึ้นเท่ๆ นักบินต้องมีนามเรียกขานไว้เพื่อป้องกันตัวเองจากการหมายหัวของข้าศึก การสังหารนักบินย่อมง่ายกว่าทำลายเครื่องบิน กว่าจะฝึกนักบินได้แต่ละคนกองทัพต้องใช้งบประมาณหลายล้าน ทั้งค่าใช้จ่ายฝึก ค่าน้ำมัน,อุปกรณ์หรือแม้แต่ชีวิตนักบินเอง พวกเขาจึงเป็นทรัพยากรที่ทรงคุณค่าของกองทัพ

มีเครื่องบินดีวิเศษแค่ไหนถ้าไร้นักบินมันก็เหมือนเศษวัสดุกองอยู่กับพื้น เพราะพม่าเคยใช้เครื่องบินไล่ถล่มชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดน พอพวกนี้เข้าถึงชั้นความลับได้จนรู้คอลไซน์ว่าใครเป็นใคร จึงถูกไล่ปิดบัญชีกันทีละคน ไม่ปรากฎข่าวว่านักบินพม่าถูกฆ่าไปมากแค่ไหน แต่สาเหตุสำคัญคือเมื่อฝ่ายตรงข้ามล่วงรู้คอลไซน์แล้วการทำลายกำลังทางอากาศจึงไม่ใช่เรื่องยาก ในการบินครั้งนี้ผมก็มีคอลไซน์กับเขาด้วย ที่จริงมันเป็นคอลไซน์ที่ได้มาแต่ครั้งบินกับF16แล้วคือ"คานธี"(Gandhi)ที่ตั้งโดยนักบินF16ผู้มีคอลไซน์ว่า"ฮอลลีวูด" การบินครั้งนี้ผมยังใช้คอลไซน์เดิม ใครที่เคยเห็นหน้าผมสวมแว่นสายตาคงนึกภาพออก

บินเกาะหมู่กันไปจนถึงที่หมายคือสนามฝึกใช้อาวุธแล้ว นักบินที่บินหมู่เอคีลอนต่างแยกตัวลงใช้อาวุธตามลำดับตั้งแต่หมายเลข1 ภาพที่แต่ละเครื่องเอียงตัวแยกออกไปเข้าแพทเทิร์นนั้นน่าตื่นตาตื่นใจไม่ต่างจากภาพยนตร์สงคราม ผมพลาดการบันทึกประสบการณ์มาแล้วจากการบินF16แต่คราวนี้ไม่พลาดเด็ดขาด ด้วยกล้องถ่ายวิดีโอที่เพิ่งซื้อไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ผมบันทึกภาพการบินไว้เกือบทุกวินาทีตลอดภารกิจเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำ หลังจากนี้ไปจะได้มีโอกาสบินอีกหรือเปล่านั้นไม่มีใครรู้

L39ของผมเบรกแล้วตีวงลงไปร่วมวงไพบูลย์ด้วยเป็นเครื่องที่4 นักบินนำเครื่องดิ่งลงด้วยมุม30องศาแล้วกดปุ่มทิ้งระเบิดฝึกเข้าเป้าเป็นชุดแรกก่อนดึงเครื่องขึ้นทันทีด้วยอัตราเร่งตามบรีฟคือ5จีนานประมาณ3-4วินาที การได้กลับมาพบกับ"G"เพื่อนเก่าอีกครั้งหลังจากไม่ได้พบกันนาน5ปีทำผมถึงกับหน้ามืด แต่ยังมีสติพอจะเกร็งตัวแล้วกลั้นหายใจฝืนตามที่ถูกฝึกมาครั้งเมื่อบินกับF16 ผมรอดจากการหลับกลางอากาศมาได้ครั้งหนึ่งแล้วแต่ยังต้องเผชิญกับการหน้ามืดแบบนี้อีก11ครั้งตามตารางฝึกเต็มเหยียด การได้สัมผัสกับแรงเหวี่ยงสูงกว่านี้คือ7-8จีจากF16ทำให้รู้สึกไม่สะดุ้งสะเทือนเมื่อฟังบรรยายสรุปตอนเช้าว่าเครื่องบินจะเหวี่ยงแรงที่สุดคือ5จี(ไม่ได้อวดเก่งนะครับ ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ) นักบินถามผมด้วยความห่วงใยว่าไหวหรือไม่ ซึ่งผมตอบไปว่าไหว ถ้าไม่ไหวจะบอกเอง ขอให้เขาทำได้ทุกสิ่งที่เคยทำเป็นปกติอย่างมากผมก็คงแค่หลับถ้าทนแรงเหวี่ยงไม่ไหว ถึงอย่างไรเขาก็บินกลับได้อยู่แล้วเพราะผมไม่ได้ขับเอง

มีเสียงรายงานจากภาคพื้นดินกลับมายังผู้บังคับฝูง เป็นรายละเอียดทั้งที่เข้าเป้าและพลาดเป้า เท่าที่จับใจความได้นั้นน่าพอใจสำหรับ401เมื่ออาวุธส่วนใหญ่ในรอบนั้นเข้าเป้าแทบทุกครั้ง คนที่พลาดก็ยังอยู่ในวงที่ยอมรับได้ว่าใกล้เคียง ผมเข้าใจชัดยิ่งขึ้นไปอีกถึงความจำเป็นของการฝึกเมื่อมาถึงจุดนี้ เครื่องบินทุกเครื่องที่ซื้อมาต้องใช้บินไม่ใช่จอดไว้เฉยๆ เราอาจใช้เครื่องบินเก่าแต่ก็ใช่ว่าจะเก่าอย่างไร้ประโยชน์ ทุกเครื่องถูกนำออกบินทุกวันเพื่อให้นักบินมีทักษะการใช้อาวุธ เครื่องบินถูกใช้งานหนักก็จริงแต่นักบินก็เก่งขึ้นด้วย ทักษะจากการฝึกนี้เองที่จะช่วยให้พวกเขาอยู่รอดกลับมาพบครอบครัวและรับใช้ชาติต่อไป เมื่อในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆอยู่แล้ว นักบินเก่งก็ต้องแลกกับเครื่องบินใช้งานหนักและคุ้ม

เราเลี้ยวกลับไปใช้อาวุธในรอบ2 เครื่องL39ดิ่งหัวลงปล่อยระเบิดแล้วรีบดึงเชิดขึ้นฉับพลัน คราวนี้ผมตั้งตัวได้ดีกว่าเดิมอาการหน้ามืดจึงไม่รุนแรงเหมือนการโจมตีเที่ยวแรก ระหว่างไต่ระดับขึ้นมาตั้งวงผมมองลงไปเห็นL39เครื่องอื่นๆเรียงหน้ากันเข้าถล่มเป้ารูปโดมอยู่ไกลๆ ควันขาวลอยอ้อยอิ่งขึ้นเหนือเป้าขณะเครื่องบินพุ่งผ่านไปด้วยความเร็วสูง ไม่มีเพลิงลุกแบบระเบิดนาปาล์มในภาพยนตร์เรื่อง"อโพคาลิปส์ นาว"เพราะนี่เป็นการซ้อม

นักบินส่วนใหญ่อยู่ในวัย20กลางๆที่อายุห่างแทบจะเป็นลูกชายผมได้ ถ้าผมเป็นพ่อของพวกเขาจริงๆคงจะปลื้มใจแทบน้ำตาไหลที่เห็นลูกชายทำหน้าที่ได้เข้มแข็งสมเป็นทหาร ภาพที่เห็นดูเหมือนสนุกก็จริงแต่ไม่มีใครยอมใครเพราะไม่ใช่การละเล่นแต่เป็นงาน เป็นความเป็นความตายจริงๆเมื่อเข้าสู้รบ

คนหนุ่มเหล่านี้คือคนกลุ่มเดียวกันที่จะเข้าแข่งขันการใช้อาวุธทางอากาศในสนามนี้ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน คนทำคะแนนได้มากจะคว้ารางวัลไปพร้อมมั่นใจในฝีมือ ส่วนคนที่พลาดหวังในปีนี้ก็พร้อมจะกลับมาแข่งใหม่ในปีหน้า นับว่าเป็นรูปแบบการฝึกที่เหมือนกีฬา มีรางวัลล่อใจในขณะเดียวกับทหารได้พัฒนาทักษะการรบไปด้วย ยิ่งฝึกยิ่งแม่นยิ่งแข่งยิ่งเก่ง เกิดความเชื่อมั่น เป็นการฝึกทักษะของนักบินทหารที่มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก นอกจากนักบินขับไล่/โจมตีแล้วนักบินลำเลียงหรืออื่นๆก็มีการแข่งขันเช่นกันเช่นเครื่องบินลำเลียงทิ้งของลงให้ตรงเป้าฯลฯ

เครื่องบินในหมู่ต่างบินตีวงเข้ามาใช้อาวุธไม่หยุด เนื่องจากมีเวลาและเชื้อเพลิงจำกัดพวกเขาจึงต้องใช้เวลา1ชั่วโมงกว่าๆรวมเดินทางไป-กลับนี้ให้คุ้มค่า เมื่อพลาดแล้วพลาดเลยไม่มีการบินวนทิ้งซ้ำ นอกจากวนกลับมาอีกครั้งตามวงรอบเม่ือถึงคราวของตน การฝึกด้วยบ็อกซ์ แพทเทิร์นคือพื้นฐานของความเป็นนักบินพร้อมรบ ถ้าสำเร็จจากตรงนี้เขาก็พร้อมจะฝึกในขั้นสูงต่อไป

เครื่องบินของผมเลี้ยวกลับมาใช้อาวุธต่างชนิดกัน คราวนี้เป็นปืนใหญ่อากาศขนาด23..ลำกล้องคู่ นักบินบอกผมไว้ก่อนว่าอย่าตกใจเมื่อยิงเพราะเครื่องบินจะสั่นไปทั้งเครื่อง มันสั่นจริงๆอย่างรู้สึกได้ชัดเจนเมื่อเหนี่ยวไกมีเสียงดัง"ปื้ดดดดด์...ปื้ดดดดด์"ซ้ำสองครั้งกับความรู้สึกว่าเครื่องบินช้าลงเล็กน้อยเพราะแรงสะท้อนถอยหลังของกระสุน ยิงเสร็จก็ดึงเครื่องขึ้นด้วยอัตราเร่งเกือบห้าจีตามเคยซึ่งสังเกตได้จากมาตรวัดวงกลมด้านซ้ายสุดแผงหนาปัด หลังจากดื่มด่ำกับแรงจีมาหลายครั้งจนเริ่มมึนผมจึงถามนักบินว่าเหลืออีกกี่ครั้ง เขาตอบว่าอีก5ครั้งซึ่งไม่นานเลยกับเครื่องบินความเร็วสูง

การดำดิ่งลงใช้อาวุธดำเนินมาจนถึงครั้งที่10ที่ดูเหมือนผมเริ่มจะคุ้นเคยกับการเหวี่ยง เหลืออีกสองครั้งกับการสังเกตการณ์ฝึกใช้อาวุธไปพลางเก็บภาพสวยๆด้วยกล้องวิดีโอได้อีกหลายนาที น่าเสียดายนิดหน่อยที่ผมไม่ทันเห็นการใช้อาวุธของเครื่องบินที่นั่งเพราะมันอยู่ใต้ลำตัวและปีก นักบินยิงปืนจากใต้ตัวเครื่องช่วงสั้นๆแล้วดึงขึ้น กดปุ่มปล่อยระเบิดและยิงจรวดแล้วดึงขึ้นเช่นกัน แต่ก็ทันได้เห็นเพื่อนร่วมฝูงบางเครื่องยิงจรวดควันพุ่งเป็นลำออกท้ายกระทบเป้าเป็นควันขาว

ผมทนแรงเหวี่ยง4-5จีอยู่จนครบรอบโดยไม่หลับจนนักบินชมว่าใจถึง,แกร่ง ความจริงที่อยากจะบอกก็คือเพราะผมลุกหนีไปไหนไม่ได้ต่างหากถึงต้องนั่งทนเหวี่ยงให้ครบ เรื่องนี้เป็นความปรารถนาของผมเองที่ต้องการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้เต็มที่ เพื่อนำมาเล่าไว้ตรงนี้ ให้คนที่ไม่รู้ได้รู้ว่าเราต้องมีกำลังทางอากาศไว้ทำไม เดิมทีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ผู้ดูแลเรื่องนี้ในกรมยุทธการได้กำชับนักบินไว้ว่าให้ทำบ็อกซ์ แพทเทิร์นกับผมแค่3-4รอบแล้วที่เหลือคือบินวนพาดูL39เครื่องอื่นๆใช้อาวุธ เพราะการโดนอัดด้วยแรง5จีซ้ำซากอาจทำเอาหมดสติได้

แต่เพราะการเคยมีประสบการณ์มาแล้ว กับความเอาใจใส่ของนักบินที่คอยตรวจสภาพผมตลอดเวลาผมจึงทนกับบ็อกซ์ แพทเทิร์นได้ครบ12ยก มาบินกับเขาทั้งทีแล้วทำเหยาะแหยะก็ไม่รู้ว่าจะมาบินทำไมให้นักบินเขาดูถูก จะเขียนบทความเล่าเรื่องก็ไม่สนิทใจ คงเหมือนโกหกกันจริงๆถ้าผมเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะโดยมีประสบการณ์จริงๆแค่ครึ่งเดียว

เสร็จจากการฝึกใช้อาวุธตามรูปแบบแล้วก็ปิดท้ายด้วยการบินต่ำ"โลว์ แนฟ" ด้วยความสูงแค่ตึกสิบกว่าชั้นนี้เครื่องบินจะเผาผลาญเชื้อเพลิงหนักกว่าบินสูง นอกจากต่ำแล้วยังต้องบินซิกแซ็กไปมาแบบยุทธวิธี(tactical)เพื่อฝึกหลบเรดาร์และอาวุธยิงต่อสู้อากาศยาน ต่ำเสียจนเห็นป้ายเทสโก-โลตัสข้างรถเทรลเลอร์ส่งของชัด คนขับรถเองก็คงแปลกใจเหมือนกันที่เครื่องบินโจมตีลำเล็กๆมาบินทำไมกันแถวนั้น ถ้ารู้ความจริงเขาคงจะเข้าใจว่านี่คือการฝึกเพื่อปกป้องทั้งตัวเขาเองและประเทศชาติ ถ้าไม่เข้าใจก็คงคิดได้แค่ว่าทหารอากาศเอาเครื่องบินมาบินเล่นผลาญน้ำมันหลวงอีกแล้ว

หลังจาก"โลว์ แนฟ"ยุทธวิธีครบทั้งสองหมู่บินก็ขึ้นไปเกาะหมู่เอคีลอนกลับฐานบินตาคลีถึงตอนใกล้เที่ยง การฝึกวันนี้จึงจบลงตามกรอบของการฝึกช่วงเช้าด้วยน้ำมันเหลือติดก้นถัง ก่อนนักบินรอบต่อไปจะนำเครื่องบินขึ้นอีกในช่วงบ่ายเพื่อฝึกแบบเดียวกัน ตอนต่อไปซึ่งเป็นตอนจบผมจะสรุปถึงความจำเป็นของการฝึก และความจำเป็นของกำลังทางอากาศที่ชาติเราต้องมี ด้วยรายละเอียดที่ได้จากประสบการณ์ตรงซึ่งคุณๆจะหาอ่านจากที่ไหนไม่ได้นอกจากที่มติชนสุดสัปดาห์นี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น