วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กองทัพเรือไทยกับเรือดำน้ำ(2)



ดังที่ผมได้กล่าวไปแล้วในบทความตอนแรกว่ากึนเธอร์ พรีนใช้เรืออู-47บุกถล่มเรือหลวงรอยัลโอ๊คของอังกฤษถึงในท่าที่ระดับลึกเกือบ60เมตร เมื่อพิจารณามิติเฉพาะความสูงของเรือดำน้ำขนาดเล็กอย่างอู-47แล้วจะพบว่าเหลือเฟือ และที่ความลึกเพียง60เมตรในขณะนั้นก็ถือว่าใกล้เคียงกับความลึกของอ่าวไทยในปัจจุบันซึ่งลึกเฉลี่ย40-50เมตร ลึกที่สุดคือ70เมตร ความจริงที่คนทั่วไปยังไม่ตระหนักก็คือเรือดำน้ำขนาดเล็กอย่างไทพ์206เอที่เรากำลังจัดหาอยู่นั้นมันถูกออกแบบให้ดำน้ำตื้น ทุกครั้งที่พูดถึง"เรือดำน้ำ"เราจะนึกถึงเรือดำน้ำนิวเคลียร์ชั้นลอส แอนเจลิสของสหรัฐฯเสมอไปซึ่งเป็นเรือดำน้ำติดอาวุธทางยุทธศาสตร์...ยุทธศาสตร์ของเขาซึ่งเป็นยุทธศาสตร์เชิงรุก แต่หลังจากเยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่2และถูกจำกัดกำลังรบด้วยสนธิสัญญาต่างๆเพื่อสันติภาพรวมทั้งรวมตัวกับชาติยุโรปเป็นนาโต เรือดำน้ำช่วงหลังสงครามจึงเน้นที่น้ำตื้นตามยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศ เช่นเดียวกับไทย ด้วยความลึกระดับอ่าวไทยซึ่งลึกพอกับทะเลบอลติก เราจึงใช้เรือดำน้ำได้สบายๆและเคยใช้มาแล้วจนปลดประจำการไปเมื่อหกสิบปีก่อน

ตัดปัญหาเรื่องความลึกของอ่าวไทยไปได้แล้วเหลืออะไรอีก? ใช้เรือผิวน้ำได้ไหม?แล้วเครื่องบินปราบเรือดำน้ำล่ะ? ข้อมูลทางเทคนิคก็คือการจะมองจากเครื่องบินลงมาให้เห็นเรือดำน้ำนั้นมันต้องอยู่ใต้ผิวน้ำตื้นกว่า16เมตร และด้วยเนื้อที่320,000ตารางกิโลเมตรล่ะจะต้องใช้เครื่องบินกี่ลำเพื่อตามหาเรือดำน้ำแค่ลำเดียว หรืออย่างมากสุดก็4ลำ? คำตอบคือแม้จะตื้นกว่า16เมตรก็ยังแทบมองไม่เห็นแล้วในตอนกลางวัน ถ้าเป็นกลางคืนล่ะจะยากลำบากแค่ไหน โดยเฉพาะเรือดำน้ำขนาดเล็กแบบที่เพื่อนบ้านเราใช้ ตามมาตรฐานนั้นต้องใช้เครื่องบิน2ลำและเรือผิวน้ำอีก2ลำถึงจะตามเรือดำน้ำได้1ลำ ถ้ามันมามากกว่านั้นก็เอาอย่างละสองนี่แหละคูณเข้าไป และจะยากมากในทะเลเปิดอันกว้างใหญ่ไพศาล

ถึงเทคโนโลยีของโซนาร์ซึ่งเป็นตัวตรวจจับ(เซนเซอร์)ในปัจจุบันจะก้าวไปไกลมาก แต่ของที่เราใช้อยู่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับ"โอเค"เท่านั้น ซ้ำตัวเรือดำน้ำเองยังมีระบบเก็บเสียงที่ดี มีเสียงสภาพแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมทั้งอุณหภูมิและความเค็มของน้ำทะเลซึ่งจะมาเบี่ยงเบนหรือลดขีดความสามารถของเซ็นเซอร์จากเรือและเครื่องบินอีก เวลาส่วนใหญ่80เปอร์เซ็นต์จึงหมดไปกับการออกตระเวนค้นหาอย่างแทบสิ้นหวังกว่าจะเจอ แล้วก็ใช่ว่าจะเจอกันทุกครั้งที่ออกตามหา มิฉะนั้นพรีนคงไม่เอาเรืออูบุกเข้าถล่มเรืออังกฤษได้ถึงท่าทั้งที่มีมาตรการระวังป้องกันเพียบหลังประกาศสงครามกับเยอรมัน

เมื่อเซ็นเซอร์ที่ผิวน้ำมีข้อจำกัดมาก เซ็นเซอร์ที่วางตัวลึกลงไปในน้ำเลยจึงมีข้อจำกัดน้อยกว่า การใช้อาวุธทำลายเรือดำน้ำนั้นไม่ยุ่งยาก คิดง่ายๆคือหาให้เจอแล้วก็ยิงเสียให้จม แต่ขั้นตอนที่ยากก็คือการค้นหานี่เองซึ่งเมื่อเทียบกันตัวต่อตัวแล้วเซ็นเซอร์ของเรือดำน้ำเหนือกว่าเรือผิวน้ำอยู่หลายขุม วัดกันตัวต่อตัวแล้วจะพบว่าเรือดำน้ำเป็นต่อเรือผิวน้ำถึง3ต่อ1ด้วยเซ็นเซอร์ดักจับคลื่นเสียงได้ไกลกว่าเรือผิวน้ำถึงสามเท่า

ขณะที่เรือดำน้ำสามารถกวาดวงดักฟังเสียงและความเคลื่อนไหวได้ไกลเป็นร้อยกิโลเมตร เรือผิวน้ำกลับทำอย่างเดียวกันได้ใกล้แค่ไม่กี่สิบกิโลเมตร เรือผิวน้ำอาจจะตรวจพบเรือดำน้ำก็จริงแต่ตัวมันเองล่ะโดนเรือดำน้ำแล่นตามมาเงียบๆนานแค่ไหนแล้ว? แค่คิดก็ขนลุก ที่สำคัญคือด้วยความจำกัดของเซ็นเซอร์บนเรือผิวน้ำนั่นเองที่ทำให้ไม่รู้จะไปเริ่มควานหาเรือดำน้ำกันตรงไหนในเมื่ออ่าวไทยใหญ่โตขนาดนั้น ใช้เรือดำน้ำเหมือนกันไปตามล่าเสียยังจะลดข้อเสียเปรียบได้มากกว่า ในการสงครามที่ต้องช่วงชิงความได้เปรียบ ต้องแทรกแซงวงรอบการตัดสินใจ(OODA loop)ของฝ่ายตรงข้ามให้ได้แล้วชิงใช้อาวุธก่อนนั้น เรือดำน้ำจึงได้เปรียบเรือผิวน้ำทุกประตู เมื่อเอาการตรวจจับ(Observe)ได้ก่อนเป็นที่ตั้ง การปรับตัว(Orientation),ตัดสินใจ(Decide)และใช้อาวุธ(Act)จะตามมาอย่างรวดเร็ว กว่าเรือผิวน้ำจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรทอร์ปิโดก็วิ่งเข้าหาแล้ว

เพราะความเท่าเทียมกันในด้านการตรวจจับนี่เอง ที่เราอาจพูดได้ว่าไม่มีอาวุธใดใช้ปราบเรือดำน้ำได้ดีเท่าเรือดำน้ำด้วยกัน แม้แต่กองเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯซึ่งมีสุดยอดเทคโนโลยีใช้แล้วยังต้องมีเรือดำน้ำคุ้มกัน กระนั้นก็ยังไม่รอดพ้นจากเรือดำน้ำสวีเดนในการซ้อมรบของนาโต ที่ไปโผล่ขึ้นกลางกองเรือสหรัฐฯแบบทำเอาเสียหน้า ต้องซื้อเรือดำน้ำสวีเดนชั้นนั้นกลับไปใช้ปรับยุทธวิธีกันอย่างเดียว

คุณประโยชน์ของเรือดำน้ำทางยุทธวิธี นอกจากเรื่องการกวาดจับความเคลื่อนไหวได้ไกลแล้วก็ยังมีเรื่องของการทวีกำลังรบ(force multiply)เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เมื่อคำจำกัดความของคำว่า"ทวีกำลังรบ"ข้อหนึ่งคือการทำให้กำลังน้อยเสมือนมีกำลังมาก เรือดำน้ำจึงตอบโจทย์ข้อนี้ได้เมื่อจอดมันกลางแจ้งให้เห็นเสียเลยในท่าที่ใครๆก็ดูได้จากภาพถ่ายดาวเทียม แต่ตอนมันหายไปจากท่านี่สิมันจะไปอยู่ตรงไหนไม่มีใครรู้ เมื่อไม่รู้ก็ไม่กล้าส่งเรือตัวเองออกจากท่าเพราะไม่รู้ว่าจะโดนทอร์ปิโดเข้าไปเมื่อไร ตรงนี้เองที่จะทำให้ดุลแห่งอำนาจการป้องกันเปลี่ยน เราจะพลิกสถานการณ์จากเบี้ยล่างมาเป็นเหนือกว่าหรือเท่าเทียมกันได้ด้วยเรือดำน้ำจริงๆ และเคยทำได้แล้วในสงครามอินโดจีน เมื่อครั้งส่งเรือดำน้ำทั้งสี่ลำไปลาดระเวนหน้าฐานทัพเรือเสียมเรียบของฝรั่งเศส เพียงรู้ระแคะระคายว่าเรือดำน้ำไทยไม่อยู่ในท่าเรือผิวน้ำของฝรั่งเศสก็ไม่กล้าถอนสมอแล้ว ชาติยุโรปซาบซึ้งดีกับเรืออูเยอรมันในสงครามโลกทั้งสองครั้งโดยเฉพาะฝรั่งเศส เมื่อรู้ว่าคู่สงครามมีเรือแบบเดียวกับเรืออูทางเลือกเดียวคือ"อย่าเสี่ยง" ทั้งที่กองทัพเรือของเราด้อยกว่าแต่ด้วยเรือดำน้ำจำนวนหนึ่งที่เป็นตัวทวีกำลังรบ เราก็สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นต่อได้

ในการเมืองระหว่างประเทศ การจะพูดจาให้ใครฟังได้ดังๆนั้นตะพดของเราต้องใหญ่กว่าหรืออย่างน้อยก็ต้องเท่าเทียมกัน ลองคิดดูง่ายๆกับกรณีเขาพระวิหารว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรถ้ากองทัพบกของเราไม่เข้มแข็ง เป็นเช่นนั้นสถานการณ์ระหว่างเรากับเขมรคงกลับกัน และหากเป็นเช่นนั้นประชาชนก็จะเสื่อมศรัทธาในกองทัพและรัฐบาล ลงท้ายกองทัพก็ตกเป็นจำเลยอีกด้วยข้อหาว่าไม่เข้มแข็งไร้น้ำยา ไม่จัดหาอาวุธไว้ป้องกันการล่วงล้ำอธิปไตย

ปัจจุบันกองทัพเรือไทยต้องรับภาระหนักไม่แตกต่างจากเหล่าทัพอื่น ทั้งด้านการป้องกันประเทศและปกป้องผลประโยชน์ของชาติ พูดถึงประโยชน์หลักๆก็คือการปราบเรือดำน้ำ ใช้ได้ทั้งไล่ล่าทำลายเรือดำน้ำฝ่ายตรงข้ามและเพื่อคุ้มกันกองเรือผิวน้ำที่มีคุณค่าทางยุทธการสูงเช่นกองเรือบรรทุกเครื่องบิน(เรือหลวงจักรีนฤเบศ) ใช้ต่อต้านเรือผิวน้ำได้จากขีดความสามารถด้านการตรวจจับที่กล่าวไปแล้ว ใช้วางทุ่นระเบิดซึ่งไทพ์206เอนี้สามารถบรรทุกทุ่นระเบิดไปได้40ทุ่น การซ่อนพรางของมันทำให้บุกเข้าได้ลึกถึงบริเวณสำคัญทางยุทธศาสตร์ หรือใช้เพื่อวางทุ่นระเบิดเชิงป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรุกล้ำเข้ามาได้

นอกจากนี้ยังใช้เพื่อหาข่าวด้วยการลาดตระเวน คุณสมบัติการซ่อนพรางและความเงียบของมันช่วยให้เข้าถึงพื้นที่ได้ลึก กว่า เช่นการเฝ้าตรวจยุทธศาสตร์หรือการหาข่าวกรองความเคลื่อนไหวในฐานทัพเรือฝ่ายตรงข้าม จะใช้เพื่อสนับสนุนการสงครามพิเศษก็ได้และคล่องตัวกว่าเรือผิวน้ำด้วยการซ่อนพรางเช่นกัน ไทพ์206เอมีพื้นที่ให้นำชุดปฏิบัติการของหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ(SEAL)ไปได้กับเรือหนึ่งชุดเต็มก่อนจะส่งทหารออกทางท่อทอร์ปิโด

นอกจากการใช้งานในสถานการณ์ขัดแย้ง เรือดำน้ำยังมีประโยชน์ในยามสงบด้วยคือการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางทะเล ต่อต้านการก่อการร้าย ปราบสลัด ซึ่งจะเฝ้าดูและติดตามได้นานกว่าเรือผิวน้ำ ไทพ์206เอสามารถปฏิบัติภารกิจต่อเนื่องได้1เดือนในขณะที่เรือตรวจกาณ์ปกติจะทำงานได้นานแค่15วันก็ต้องกลับมารับการส่งกำลังบำรุง ที่มองข้ามไม่ได้เลยก็คือการทำหน้าที่เป็นข้าศึกสมมุติให้กองเรือผิวน้ำและอากาศยานในการซ้อมรบเพื่อความพรั่งพร้อม ด้วยเรือดำน้ำจริงการฝึกจึงจะสมจริงที่สุดและยังเป็นสะพานเชื่อมให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างเหล่าทัพในชาติพันธมิตรด้วย

เมื่อคิดถึงคุณค่าของเรือดำน้ำในแง่ยุทธวิธีและยุทธศาสตร์แล้ว เราคงต้องเปิดใจให้กว้างเพื่อรับข้อมูลที่เป็นจริง กองทัพเรือสิงคโปร์และมาเลเซียมีเรือดำน้ำ กองทัพเรือเวียตนามกำลังจะได้เรือดำน้ำชั้นกิโล(Kilo class)จากรัสเซียมาอีกหกลำซึ่งจะส่งมอบลำแรกปี2012นี้เอง เราไม่มีเรือดำน้ำก็ได้แต่ถ้าเกิดกรณีพิพาทขึ้นจะมีใครรับประกันได้บ้างว่าเราจะไม่ต้องรบ? ถึงจะหลีกเลี่ยงการใช้กำลังอย่างสุดความสามารถแต่เมื่อต้องรบเราก็ต้องชนะ หรืออย่างน้อยทหารเราก็ต้องไม่ตาย กรณีการปะทะบริเวณเขาพระวิหารคือตัวอย่างที่ดีซึ่งเราสูญเสียน้อยเพราะเหนือกว่า ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ใช้ความเหนือกว่าเพื่อรุกรานหรือก่อความเสียหายลุกลามกลายเป็นสงครามใหญ่

ก็ถือว่าน่าเสียดายที่เราต้องล่าช้าในการจัดหาเรือดำน้ำ เพราะนี่คือความคุ้มค่าทางยุทธศาสตร์ในเงื่อนไขและงบประมาณที่เหมาะสมจริงๆ เยอรมันยังใช้เรือรุ่นนี้อยู่ไม่ได้ปลดประจำการ เขาขายเราในราคามิตรภาพเพราะจำเป็นต้องลดขนาดกองทัพ เราไม่ได้ซื้อเศษเหล็กมาใช้เหมือนอย่างที่คนบางกลุ่มพยายามจะชักจูงให้เข้าใจกัน โดยส่วนตัวแล้วผมรู้สึกเสียดายที่การจัดซื้อครั้งนี้ไม่ผ่านสภา จนคาดว่าคงหมดโอกาสไปแล้ว แต่ยังโชคดีที่รัฐบาลเยอรมันซึ่งประสานงานกับกองทัพเรือไทยมาตั้งแต่ต้นเป็นแรมปียังรอเรา กองทัพเรือยังมีโอกาสที่จะมีเขี้ยวเล็บเพิ่มอยู่ด้วยงบประมาณปกติซึ่งไม่ได้ขอเพิ่มจากรัฐบาล เช่นเดียวกับครั้งที่กองทัพอากาศทำโครงการกริพเพนซึ่งก็กัดก้อนเกลือกินเช่นกัน อาจจะช้าไปหน่อยแต่ก็เชื่อว่ายังมีหวัง

ถ้าจะเปรียบเปรยก็คงเป็นทำนองพ่อแม่ให้เงินค่าขนมลูก แล้วพอลูกเอาเงินออมนั่นมาซื้อสัญญาณกันขโมยติดบ้านพ่อแม่กลับดุด่าซ้ำยังไม่ให้เด็กมันไปซื้อ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะให้ทำอย่างไรกับเงินก้อนนั้นเพื่อจะทำให้บ้านมันปลอดภัยขึ้น

สองตอนนี้เป็นเรื่องความจำเป็นกับความคุ้มค่าทางยุทธการ ตอนสุดท้ายในฉบับหน้าเราจะมาดูกันลึกๆล่ะว่าจะได้อะไรบ้างจากแพ็คเกจเรือดำน้ำ6 ลำ(ใช้งานจริงๆ4ลำ)จากเยอรมนี


กองทัพเรือไทยกับเรือดำน้ำ(1)


การจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพไทยนั้นเป็นข่าวให้ติดตามได้ทุกครั้ง พร้อมกับคำถามที่ตามมาว่ามันจะคุ้มค่าไหม? จำเป็นหรือเปล่า? และข้อสงสัยที่ถูกนำไปเป็นประเด็นการเมืองบ่อยๆก็คือ"ต้องมีการทุจริตกันแน่ๆ" เรื่องทำนองนี้จะเป็นอย่างไรในอดีตจะไม่พูดถึง แต่เท่าที่เห็นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ผมพบว่าเรามีกระบวนการที่โปร่งใสมากขึ้น ตรวจสอบง่ายและเจ้าของโครงการซื้อยุทโธปกรณ์เองก็อยากให้ตรวจสอบ ด้วยความมั่นใจว่าดำเนินการทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของชาติจริงๆ ที่น่าดีใจก็คือกองทัพมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เริ่มจากโครงการจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศบูรณาการกริพเพนของกองทัพอากาศ ที่ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้วทั้งสองเฟส เหลืออย่างเดียวคือรอรับของส่วนที่เหลือ เราพึ่งพามหาอำนาจน้อยลงแต่ยึดมั่นในความเหมาะสมทางยุทธศาสตร์มากขึ้น ทั้งที่เคยถูกโจมตีจากผู้ไม่เห็นด้วยทั้งในกองทัพและนักการเมืองแต่โครงการกริพเพนก็ยังรอด ด้วยความโปร่งใสและด้วยคุณประโยชน์ในตัวมันเอง เราทำโครงการกริพเพนด้วยผลประโยชน์ของชาติจริงๆด้วยการต่อรองเพื่อให้ได้ของที่"เหมาะสม"ที่สุด และด้วยเงื่อนไขที่"คุ้มค่า"ที่สุด ถึงจะไม่ได้ของดีที่สุดมาใช้แต่ของนั้นก็เหมาะสมกับยุทธศาสตร์และงบประมาณอันจำกัดที่สุดของกองทัพ

เรื่องที่จะเขียนถึงต่อไปนี้ก็คือโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ6ลำของกองทัพเรือ ที่ดำเนินตามแบบแผนของโครงการกริพเพน คือจัดหาสิ่งที่เหมาะสมกับยุทธศาสตร์ที่สุดมาใช้ โปร่งใส และต่อรองเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ของชาติมากที่สุด เน้นการยืนบนลำแข้งของเราเองและพยายามไม่พึ่งพามหาอำนาจ เรือดำน้ำที่จะจัดหาจากประเทศเยอรมนีนี้จะคุ้มค่าหรือไม่นั้นพิสูจน์ได้ด้วยอนาคต แต่กองทัพเรือไทยเคยมีเรือดำน้ำประจำการหรือเปล่า? และเรามีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องมีเรือดำน้ำ? รายละเอียดต่อไปนี้น่าจะช่วยให้ผู้สนใจติดตามได้เข้าใจ จะเห็นด้วยหรือไม่ก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน

ตามประวัติศาสตร์ของกองทัพเรือนั้นเราเคยมีเรือดำน้ำประจำการมาแล้ว4ลำ ด้วยการจัดหาซึ่งมีพลเรือตรีพระเจ้าพี่ยาเธอกรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์(พระยศในขณะนั้น)และนายทหารชั้นผู้ใหญ่อีกหลายท่านเป็นกรรมการจัดหา ด้วยชื่อย่อว่า"เรือ ส.(1)" นำขึ้นทูลเกล้าถวายสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิตเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ซึ่งได้ทรงนำทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่6) เมื่อ18มกราคม พ..2453 ด้วยเหตุผลว่า"เรือ ส. คือเรือดำน้ำสำหรับลอบทำลายเรือใหญ่ข้าศึก….. แต่ยังกล่าวให้ชัดไม่ได้เพราะยังไม่เคยลงแลลอง แต่ที่พูดถึงด้วยนี้โดยเห็นว่าต่อไปภายหน้าการศึกษาสงครามจะต้องใช้เป็นมั่นคง แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ "

นี่คือวิสัยทัศน์ของเจ้านายในสมัยนั้นซึ่งได้ทรงรับการศึกษาทางการทหารจากยุโรป โดยเฉพาะกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์นั้นทรงศึกษาที่โรงเรียนนายเรือของอังกฤษ ชาติมหาอำนาจซึ่งมีกำลังทางเรือยิ่งใหญ่เป็นอันดับต้นๆของโลก แต่สิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าทรงมีวิสัยทัศน์ก็คือคำพูดที่ว่า"ต่อไปภายหน้าการศึกษาสงครามจะต้องใช้เป็นมั่นคง แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้" จะทรงทราบหรือไม่ก็ตาม แต่กระแสรับสั่งของพระองค์เริ่มจะเป็นจริงแล้วในอนาคตอันใกล้ เมื่อกองทัพเรือได้จัดหาเรือดำน้ำมาใช้งานรวมทั้งสิ้น6ลำ หลังจากเราเคยมีร..(เรือหลวง)มัจฉานุ,..วิรุณ,..สินสมุทรและร..พลายชุมพล ซึ่งกว่าจะศึกษาความเป็นไปได้และจัดหามาจนถึงขึ้นระวางประจำการก็ล่วงเข้าพ..2481

โดยทั้งสี่ลำนี้เป็นเรือดำน้ำสัญชาติญี่ปุ่น เป็นเรือชั้นเดียวกันทั้งหมด สร้างโดยบริษัทมิตซูบิชิที่เมืองโกเบ ระวางขับน้ำบนผิวน้ำ374.5ตันและขณะดำน้ำ430ตัน ยาวตลอดลำ51เมตร กว้างสุด4.10เมตร กินน้ำลึก3.6เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซลแล่นลอยลำและใช้แบตเตอรี่แล่นขณะดำน้ำ ซึ่งดำได้นานที่สุด12ชั่วโมง ใช้ลูกเรือทั้งหมด33นาย ได้ออกสงครามใหญ่กับฝรั่งเศสในกรณีพิพาทอินโดจีนหลังจากร..ธนบุรีและเรือตอร์ปิโดถูกเรือฝรั่งเศสยิงจม ซึ่งเรือดำน้ำทั้งสี่ลำนี้ได้ไปลาดตระเวนอยู่หน้าฐานทัพเรือเรียมของฝรั่งเศส และประจำการอยู่ต่อมาจนกระทั่งถูกปลดประจำการตามกำหนดเมื่อพ..2494

แนวคิดของทหารซึ่งเหมือนกันทั่วโลก ก็คือต้องระวังภัยคุกคาม หาทางป้องปรามไม่ให้ผลประโยชน์ของชาติถูกล่วงละเมิด กองทัพไทยก็ไม่ต่างจากกองทัพไหนๆซึ่งหากมีสิ่งใดที่ทำท่าว่าจะเป็นภัยคุกคามเราก็ต้องป้องปราม คำว่า"ป้องปราม"ไม่ได้หมายถึงกระหายสงคราม ไม่ได้หมายถึงความปรารถนาที่จะทำสงครามขั้นแตกหัก แต่มันหมายถึงการ"ป้องกัน"และ"ปราม"ฝ่ายที่มีทีท่าว่าจะเป็นภัยคุกคามไว้ว่าอย่าเหิมเกริม จะทำสิ่งใดโปรดคิดให้รอบคอบต่อขีดความสามารถของเราซึ่งพร้อมที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาติ การ"ป้องปราม"จึงไม่ใช่การ"รุกราน" แต่เป็นความพร้อมในขีดความสามารถซึ่งต้องมีไว้ หากเกิดกรณีพิพาทหรือปัญหาไม่ว่าเล็กหรือใหญ่คนไทยจะได้ไม่เสียเลือดเนื้อ ไม่ถูกคุกคามผลประโยชน์ของชาติ

ทำไมต้องใช้เรือดำน้ำในเมื่อเทคโนโลยีปราบเรือดำน้ำสมัยนี้ก็ทันสมัย วางใจได้? อ่าวไทยตื้น ใช้เครื่องบินบินให้สูงแล้วมองลงมาก็เห็น? น้ำตื้นๆอย่างอ่าวไทยจะใช้เรือดำน้ำได้หรือ? และอีกหลายๆคำถามที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่ต้องศึกษากันถึงเหตุผลของการจัดหาหรือหากจะพูดให้ถูกก็คือการตั้งกองเรือดำน้ำขึ้นใหม่ในขณะนี้

ถ้าดูตามประวัติศาสตร์ ถึงกองทัพเรือจะเคยมีเรือดำน้ำใช้ก็จริง แต่เวลาก็ล่วงเลยมาได้60ปีกว่าแล้วหลังจากปลดประจำการ แล้วหลังจากนั้นก็แทบไม่มีการศึกษาหรือคงขีดความสามารถในการใช้เรือดำน้ำไว้เลย นอกจากเทคโนโลยีปราบเรือดำน้ำด้วยเรือผิวน้ำและเครื่องบิน ด้วยเวลาที่ผ่านมานานขนาดนั้นแล้วจึงถือได้ว่าเราต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ และการเริ่มต้นนี้ก็ต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวังเพราะการอยู่ใต้น้ำเป็นเรื่องเสี่ยง นักบินว่าเสี่ยงก็จริงแต่ก็เป็นช่วงสั้นๆที่ขึ้นบิน แต่ทหารประจำเรือดำน้ำนั้นแม้นอนหลับอยู่ก็ยังเสี่ยง รวมทั้งต้องอยู่ในที่อันจำกัดคับแคบแทบกระดิกตัวไม่ได้เป็นเวลานานเกือบเดือนก่อนจะขึ้นบกสักครั้ง การเริ่มต้นใหม่ของกองทัพเรือคือด้วยเรือดำน้ำเยอรมันแบบ206เอ(Type-206A)ซึ่งเป็นเรือดำน้ำมือสอง

ถึงตรงนี้จึงเกิดคำถามว่า"ไปเอาของมือสองมาใช้อีกแล้ว จะปลอดภัยหรือ? เดี๋ยวก็มากลายเป็นเศษเหล็กลอยน้ำสิ้นเปลืองงบประมาณของชาติเปล่าๆ" ประเด็นนี้คงไม่ต้องไปดูให้ไกล เอาแค่สิงคโปร์ก็พอ ชัดอยู่แล้วว่าถึงจะเล็กกว่าก็ยังร่ำรวยกว่าไทย สิงคโปร์นั้นใช้เรือดำน้ำมือสองที่เก่ากว่าที่ไทยจะใช้เสียอีก ชุดแรกของเขาปลดประจำการไปแล้วชุดที่สองที่ยังใช้อยู่ก็ยังเป็นมือสองอยู่ ประเทศนี้รวยพอจะซื้อเรือดำน้ำมือหนึ่งได้สบายๆ จะให้ดีแค่ไหนก็ได้แต่ทำไมไม่ซื้อ? เหตุผลก็คือการเริ่มใช้เรือดำน้ำนั้นระยะแรกคือการฝึกฝนเพื่อให้ปฏิบัติงานเป็น เพื่อสร้างองค์ความรู้โดยยังไม่ใช้งานทางยุทธการเต็มที่ การใช้ของมือหนึ่งจะสิ้นเปลืองเกินเหตุและไม่คุ้มค่าทั้งด้านยุทธวิธีและยุทธศาสตร์

ถ้าจะวางยุทธศาสตร์สำหรับเรือดำน้ำกันในระยะยาวแล้วการวางรากฐานจึงจำเป็น เมื่อรากฐานแน่นแล้วจะซื้อของใหม่หรือมือสองในช่วงหลังๆก็ค่อยว่ากัน แต่ที่แน่ๆก็คือเราได้องค์ความรู้ กำลังพลคุ้นเคยกับการปฏิบัติงานในเรือดำน้ำซึ่งแตกต่างจากเรือผิวน้ำสิ้นเชิง ทั้งความเป็นอยู่และความกดดันด้านจิตใจ

เราตัดสินใจใช้เรือดำน้ำของเยอรมันแทนที่จะเป็นของเกาหลีใต้แบบ209(Type-209) ก็ด้วยเหตุผลคล้ายคลึงกับการจัดหาระบบกริพเพนของกองทัพอากาศ คือแทนที่จะเลือกF-16ซีและดีซึ่งดูเหมือนจะดีนั้นเรากลับเลือกระบบกริพเพนเพราะมันมาเป็นแพคเกจ จ่ายในราคาถูกกว่าซ้ำได้ของมามากกว่าอีก เรือดำน้ำแบบ206เอของเยอรมนีนี่ก็เช่นเดียวกัน ในขณะที่เราจ่ายเงินซื้อเรือดำน้ำของเกาหลีในราคาแพงกว่า แต่สิ่งที่ได้มาคงมีแค่ตัวเรือซึ่งเทียบกับของเยอรมันแล้วได้ทั้งตัวเรือและระบบอาวุธแบบครบเครื่อง ทั้งที่ตัวเลข209ซึ่งมาทีหลัง206นั้นทำให้ดูเหมือนทันสมัยกว่า แต่เอาเข้าจริงๆแล้วนี่คือรุ่นส่งออกที่ลดออปชั่นต่างๆลงมาก หากจะเอาให้ครบเครื่องใช้งานได้ทันทีด้วยมาตรฐานเยอรมันอาจต้องใช้งบสูงถึงห้าหมื่นล้าน ต้องตั้งงบประมาณผูกพันกันระยะยาวในขณะที่แบบ206เอนั้นกองทัพเรือไม่ต้องของบประมาณเพิ่ม ถึงจะเป็นงบผูกพันสี่ปีในราคา7.7พันล้าน แต่รัฐบาลก็ไม่ต้องควักกระเป๋าเพิ่ม สามารถเอาเงินไปพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆได้ตามปกติ

ใน7.7พันล้านนั้นเราได้อะไรนอกจากเรือดำน้ำ? โดยมาตรฐานคือเรือดำน้ำ4ลำประจำการและอีก2ลำเพื่อสำรองฝึกในท่าและใช้เป็นอะไหล่ เรือสองลำหลังน้ีเยอรมันปลดประจำการไปแล้ว แต่สี่ลำที่จะประจำการนั้นเป็นเรือพร้อมใช้ซึ่งมีราคาลำละ200ล้านบาท เรืออะไหล่และใช้ฝึกนั้นราคาเพียงลำละ50ล้าน เทียบกับคุณประโยชน์ที่จะได้รับแล้วต้องถือว่าถูกมากๆเพราะเราได้ทั้งเรือฝึกในท่าเพื่อความปลอดภัย และเรือที่ใช้ปฏิบัติภารกิจจริงๆ แต่ใน7.7พันล้านนั้นไม่ใช่การจัดหาเรืออย่างเดียวยังครอบคลุมถึงการปรับปรุงเรือและระบบอาวุธด้วย เยอรมันจะโอเวอร์ฮอลทั้งสี่ลำให้มีสภาพเหมือนใหม่ นอกจากตัวเรือที่เป็นเหล็กไร้สนิมที่ไม่ต้องดูแลเลยระหว่างการใช้งานแล้ว อุปกรณ์ทุกชิ้นจะถูกถอดมาตรวจสอบและเปลี่ยนใส่ให้ใหม่ ติดตั้งเครื่องปรับอากาศสำหรับการใช้งานในน่านน้ำเขตร้อน ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของการปรับปรุงอาคารสถานที่ ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วสงสัยคิดว่ากองทัพเรือกำลังจะทำอะไร ประมวลจากเหตุผลและรายละเอียดก็คงพอสรุปได้ว่าไม่ใช่แค่ซื้อเรือดำน้ำ แต่เป็นการตั้งกองเรือดำน้ำใหม่กันทั้งกองทีเดียว และในราคาที่คุ้มค่าที่สุดด้วย

เรือดำน้ำเยอรมันมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน? ลองศึกษาประวัติศาสตร์ดูจะรู้ว่านี่คือหนึ่งในไม่กี่ชาติที่ใช้เรือดำน้ำได้คุ้มค่าและทรงประสิทธิภาพมากที่สุด เรือ"อู"(U-boat :Unterseeboot)ของเยอรมันคืออาวุธที่ฝ่ายตรงข้ามครั่นคร้าม มันออกอาละวาดไปทั่วทะเลบอลติกและแอตแลนติกเหนือในสงครามโลกทั้งสองครั้ง โดยเฉพาะสงครามโลกครั้งที่2นั้นเรืออูเยอรมันทำเอาอังกฤษย่ำแย่ไป ยังดีที่มาตีตื้นด้วยเทคโนโลยีและความช่วยเหลือจากชาติพันธมิตรตอนท้ายๆ ประกอบกับเยอรมันไม่ได้พัฒนาเทคโนโลยีต่อเนื่องเพราะโดนสงครามรุมเร้าจากหลายแนวรบ

กึนเธอร์ พรีนคือขุนศึกเรือดำน้ำระดับกางเขนเหล็กอัศวินประดับใบโอ๊ค คือผู้นำเรืออู-47บุกเดี่ยวเข้าไปจมเรือหลวงรอแยลโอ๊ค(ระวางขับน้ำพร้อมรบ33,500ตัน)ของอังกฤษถึงในท่าที่ระดับน้ำลึกไม่ถึง60เมตร แล้วกลับออกมาได้แบบไร้ร่องรอย รวมถึงเรืออื่นๆซึ่งรวมระวางขับน้ำได้200,000กว่าตันก่อนเสียชีวิต ช่วงปลายสงครามเรืออูแบบ21(Type-21)คือเรือดำน้ำต้นแบบเรือดำน้ำอีกหลายรุ่นของอเมริกันและชาติพันธมิตร ที่ต่อมาได้พัฒนาเป็นเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ในยุคปัจจุบัน ทั้งหมดเกิดขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยีด้านเรือดำน้ำของเยอรมันเป็นตัวตั้งต้นทั้งสิ้น

การจัดหาเรือดำน้ำซึ่งเป็นของใหญ่ มีความซับซ้อนมากทั้งด้านเทคนิคและกำลังพลนั้นต่างจากการจัดหาเครื่องบินซึ่งเราคุ้นเคยดีอยู่แล้ว เพราะการเคยมีใช้แล้ววางเว้นมาถึง60ปีทำให้เราต้องมาตั้งหลักกันใหม่ จำเป็นต้องมีไว้เพราะภัยคุกคามเป็นตัวกำหนด เราไม่ได้มีไว้เพื่อยิงอาวุธนิวเคลียร์ใส่เขมรหรือเพื่อส่งไปปิดอ่าวตังเกี๋ยของเวียตนาม แต่ต้องมีไว้เพื่อป้องปรามตามคำจำกัดความเบื้องต้น เมื่อต้องลงทุนมากจึงต้องรอบคอบ การเลือกแบบ206เอแทนที่จะเป็น209จากเกาหลี หรือเรือดำน้ำใดๆของจีน จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ได้รับการกลั่นกรองมาแล้วว่าคุ้มค่าที่สุดและโปร่งใส เพราะเราเจรจากับรัฐบาลเยอรมันโดยตรง เป็นการคุยกันระหว่างกองทัพซึ่งเขาจัดลำดับความสำคัญของเราไว้ในอันดับต้นๆและพร้อมจะให้ความร่วมมือเต็มที่ การเจรจาต่อรองได้ดำเนินมาจนใกล้จะจบแล้วซึ่งคงไม่มีทางเบี่ยงเบนเป็นอื่นอีกนอกจากแบบ206 ส่วนเมื่อนำมาใช้งานแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป ตรงนั้นเป็นหน้าที่ของกองทัพเรือที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง

ผมได้กล่าวถึงรายละเอียดพอสังเขปทั้งด้านความจำเป็นและงบประมาณไปแล้ว ในตอนหน้านี้แหละที่จะมาพูดกันถึงเหตุผลว่าทำไมถึงต้องใช้เรือดำน้ำเพื่อป้องปรามภัยคุกคามจากเรือดำน้ำ ใช้เครื่องบินหรือเรือผิวน้ำยังไม่ดีเท่า

(อ่านต่อฉบับหน้า)