วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

นั่งL39ไปดูการฝึกใช้อาวุธ!(1)




ดังที่เคยกล่าวไปในบทความที่แล้วว่าจะเล่าเรื่องการซ้อมใช้อาวุธด้วยเครื่องบินฝึก/โจมตีเบาL39 เรื่องราวต่อไปก็จะเป็นรายละเอียดจากประสบการณ์ตรงที่ได้พบมา ด้วยความอนุเคราะห์ของกองทัพอากาศให้ผมได้นั่งที่นั่งหลังของเครื่องบินรบรุ่นนี้อีกครั้ง หลังจากเคยได้รับประสบการณ์คล้ายคลึงกันมาแล้วจากเครื่องบินF16เมื่อห้าปีก่อน เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้บินแค่สองลำเหมือนเมื่อครั้งนั้นแต่เป็นการบินหมู่2หมู่ หมู่ละ4ลำ ขึ้นจากฐานทัพอากาศตาคลีจังหวัดนครสวรรค์ไปเพื่อใช้อาวุธยังสนามฝึกใช้อาวุธที่อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี แล้วบินกลับด้วยเวลารวมประมาณชั่วโมงกว่าๆ ขอชี้แจงให้ทราบเสียตรงนี้ว่าเป็นการปฏิบัติภารกิจตามปกติของฝูงบิน401ซึ่งผมได้อาศัยไปสังเกตการณ์การปฏิบัติภารกิจเท่านั้น ทางกองทัพอากาศหรือฐานทัพอากาศตาคลีไม่ได้ใช้จ่ายงบประมาณเพิ่มเติมแต่อย่างใด และเครื่องบินก็เป็นแบบ2ที่นั่งซึ่งว่างอยู่หลายลำ สิ่งที่ผมต้องทำคือนั่งนิ่งๆอย่าโยกคันบังคับเล่นให้เครื่องตกเท่านั้น

ดังวลีคลาสสิกที่ถูกยกมาเอ่ยอ้างกันบ่อยๆคือ"แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ" กองทัพอากาศของเราจึงต้องให้นักบินฝึกบินกันเป็นประจำจนถึงระดับหนึ่งที่สามารถรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในสถานภาพของนักบินพร้อมรบ เนื่องจากเครื่องบินรบแต่ละลำเป็นยุทโธปกรณ์ราคาแพงมหาศาล การจะขึ้นไปควบคุมมันจึงต้องใช้บุคลากรที่ผ่านการกลั่นกรองมาเป็นอย่างดี เริ่มต้นตั้งแต่เลือกเหล่าในโรงเรียนเตรียมทหารจนถึงการเป็นศิษย์การบินในโรงเรียนการบินกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ผู้จะก้าวเข้ามาเป็นนักบินรบจะต้องผ่านการฝึกกับเครื่องบินใบพัดสองที่นั่งเคียงกันคือCT4”ชิกเกน"ก่อนเป็นขั้นประถม สอบผ่านแล้วจึงฝึกต่อด้วยเครื่องบินสองที่นั่งเรียงกันหน้าหลัง PC9 ผ่านจากตรงนี้แล้วจึงถูกส่งแยกย้ายไปตามฝูงบินต่างๆ

ฝึกกับเครื่องบินPC9เสร็จแล้วก็ใช่ว่าจะบินกับF5,F16หรือเครื่องบินแบบอื่นๆได้เลย เพราะPC9เป็นเครื่องบินฝึกใบพัด แต่เครื่องบินโจมตีและขับไล่ของกองทัพอากาศทั้งหมดเป็นเครื่องบินเจ็ตความเร็วสูง นักบินที่ผ่านPC9แล้วจึงต้องฝึกกับเครื่องบินอะไรสักแบบที่ใช้เครืื่องยนต์เจ็ตเพื่อความคุ้นเคย มันต้องมีสองที่นั่งเรียงกันหน้าหลัง แต่ความเร็วต่ำกว่าและประหยัดงบประมาณกว่า ตรงนี้เองที่ต้องมีเครื่องบินอีกแบบไว้รองรับ ประเภทของมันตามแบบสากลคือเครื่องบิน"ไฟเตอร์ ลีด-อิน"(Fighter Lead-in) ซึ่งกองทัพอากาศของเรามีเครื่องบินไฟเตอร์ ลีด-อินใช้ฝึกนักบินก่อนเลื่อนขั้นขึ้นไปบินF16อยู่หนึ่งแบบคือL39”อัลบาทรอส" ผลิตโดยบริษัทแอโรโวโดโชดีแห่งสาธารณรัฐเช็ค ใครที่เคยดูภาพยนตร์ชุดเจมส์ บอนด์007ตอน"ทูมอร์โรว์ เนฟเวอร์ ดาย"คงจะจำได้ถึงตอนที่เพียร์ซ บรอสแนนขับเครื่องบินเจ็ตหนีพวกค้าอาวุธเถื่อน นั่นแหละคือL39

ประโยชน์ของL39คือมันเป็นเครื่องบินโจมตีเบาที่ขนอาวุธไปได้พอประมาณ มีระบบการทำงานและเครื่องช่วยเดินอากาศง่ายๆไม่ซับซ้อน ใช้โจมตีสนับสนุนการรบภาคพื้นดินในเขตที่มีการต่อต้านเบาบาง ข้าศึกใช้อาวุธขนาดเล็ก แต่ในขณะเดียวกันก็ประหยัดตรงที่ไม่ค่อยซดน้ำมันเหมือนเครื่องบินรบหลักๆอย่างF16 ในขณะที่เหยี่ยวฟอลคอน(F16)ใช้ค่าน้ำมันชั่วโมงละเกือบสองแสน แต่เจ้านกทะเลอัลบาทรอสกลับจ่ายค่าเชื้อเพลิงแค่ชั่วโมงละเจ็ดหมื่นกว่าบาท นอกจากภารกิจโจมตีภาคพื้นดินแล้วL39จึงเหมาะจะใช้ฝึกซึ่งนักบินต้องใช้มันได้บ่อยกว่าเครื่องบินขับไล่หลัก จะใช้โจมตีเบาเป็นเครื่องบินรบจริงๆก็ได้เพราะติดอาวุธได้เหมือนกัน ความเร็วก็ใช้ได้กับตัวเลข300น็อต(555.6../..)อันเป็นความเร็วปฏิบัติการ

ถึงL39จะเป็นเครื่องบินเจ็ตโจมตีเบาและฝึกจากค่ายยุโรปตะวันออก แต่มันก็ถูกออกแบบมาอย่างค่อนข้างลงตัวด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบแฟนกำลังขับสูงแต่ประหยัดน้ำมัน อัลบาทรอสซึ่งเป็นเครื่องบินฝึก/โจมตีเบารุ่นที่2นี้เข้ามาแทนL29”เดลฟิน"(Delfin)รุ่นเก่ากว่า แต่หลังจากรุ่นของมันไปแล้วแอโรโวโดโชดีได้ปรับปรุงให้สูงขึ้นเป็นL59”ซูเปอร์ อัลบาทรอส" ด้วยประสิทธิภาพอันเป็นที่ยอมรับและราคาที่ไม่สูงนักสำหรับเครื่องบินฝึกและโจมตี L39จึงถูกผลิตออกมากว่า2,800ลำ ใช้งานในกองทัพอากาศ30ประเทศทั่วโลกรวมทั้งกองทัพอากาศไทยที่มีL39อยู่สองฝูง อยู่ที่ตาคลี1ฝูงเพื่อเป็นเครื่องบินฝึกขับไล่/โจมตี และที่เชียงใหม่อีก1ฝูงเพื่อใช้ในภารกิจโจมตีภาคพื้นดินอย่างเดียว ประจำการมาตั้งแต่พ..2537หรือเมื่อ15ปีมานี้เอง หากจะประมาณกันคร่าวๆก็น่าจะเหลือเวลารับใช้ชาติอีก15ปีก่อนปลดประจำการ

อัลบาทรอสในเวลานี้จึงเปรียบเหมือนคนในวัยทำงาน สุขภาพแข็งแรงดีพอใช้เมื่อได้รับประทานอาหารดีๆได้ออกกำลังตามเวลา แต่ในอีก15ปีข้างหน้าถ้ารัฐบาลไม่เห็นความสำคัญของกำลังทางอากาศ เราอาจต้องตั้งคำถามกันอีกหากเกิดอุบัติเหตุกับนักบิน หากต้องทนใช้เครื่องบินเก่าโดยไม่จัดสรรงบประมาณมาเพื่อหาเครื่องบินใหม่ทดแทนตามอายุ

ความแตกต่างในการบินครั้งนี้ของผม นอกจากจะไม่ใช่การบินด้วยF16แล้วยังเป็นการบินเกาะหมู่8ลำเพื่อสังเกตการณ์การใช้อาวุธ ด้วยวัตถุประสงค์ของกองทัพอากาศคือต้องการให้เป็นตัวแทนภาคประชาชนเข้าสังเกตการณ์การทำงานของนักบิน เข้าใจในประสิทธิภาพของเครื่องบินตามนโยบายการประชาสัมพันธ์ รวมทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์การแข่งขันใช้อาวุธหรือที่มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า"การแข่งขันปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธี" ที่จัดเป็นประจำและเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมในบริเวณที่จัดไว้ให้อย่างปลอดภัยโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เป็นความพยายามที่แสดงให้เห็นว่ากองทัพยุคปัจจุบันเปิดกว้างต่อประชาชนทั่วไปมากกว่าแต่ก่อน ยิ่งในยุคสารสนเทศที่แม้แต่เด็กประถมก็ใช้กูเกิลเอิร์ธเป็นนี้ ความลับด้านที่ตั้งทางทหารจึงแทบไม่มี หรือถ้ามีก็ไม่นำส่วนนั้นออกเปิดเผย

สำหรับการแข่งขันใช้อาวุธของนักบินประจำปีนี้ มีขึ้นเพื่อให้นักบินได้แข่งขันกันเพื่อทำคะแนนจากการใช้อาวุธอากาศสู่พื้น เพื่อให้นักบินรบจากหน่วยบินต่างๆได้มาแข่งขันกันทำคะแนนหลังจากฝึกในพื้นที่ของตนเองมาแล้ว นอกจากจะเพื่อชิงรางวัลแล้วการแข่งนี้ยังเป็นการยกระดับฝีมือของนักบินที่เข้าร่วมกิจกรรมด้วย เพราะการบินด้วยเครื่องบินรบเป็นเรื่องยากนักบินจึงภูมิใจที่ได้บังคับมัน และเขาจะภูมิใจยิ่งขึ้นถ้าได้ประกาศศักดาให้เพื่อนร่วมกองทัพ ทั้งรุ่นเดียวกันและพี่น้องได้ทราบว่าตนเองก็มีฝีมือเป็นหนึ่ง ผู้ทำคะแนนได้ไม่ดีนักในปีนี้จะกลับมาล่าเหรียญและคะแนนอีกพร้อมความหวังว่าจะยกชั้นตัวเองให้เท่าหรือสูงกว่าเพื่อนได้ในปีถัดไป รายการแข่งที่จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่2ถึง20พฤศจิกายนนี้จึงไม่ใช่แค่การแข่งเพื่อทำคะแนนเท่านั้น เพราะวัตถุประสงค์ที่แท้จริงคือการเพิ่มขีดความสามารถของนักบินรบโดยใช้ศักดิ์ศรีและความภาคภูมิเป็นแรงบันดาลใจ เป็นสิ่งท้าทายที่นักบินทุกคนรอคอยให้มาถึงและจะมีเพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้นก่อนทุกคนจะแยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่แล้วกลับมาสางบัญชีแค้นกันใหม่ในปีหน้า

ผมถูกกองทัพอากาศเชิญให้เข้าร่วมสังเกตการณ์การฝึกใช้อาวุธในวันที่4กันยายนก็จริง แต่ต้องไปค้างคืนในฐานทัพอากาศตาคลีตั้งแต่เย็นวันที่3 เพื่อลองชุดจีสูท,หมวกนักบินและอุปกรณ์คือหน้ากากออกซิเจนให้พอดีจริงๆ จะได้ไม่มีปัญหาระหว่างบิน โดยเฉพาะหมวกบินนั้นสำคัญมากคือต้องพอดีจริงๆไม่หลวมจนน่ารำคาญเมื่อเคลื่อนไหว ไม่คับจนบีบใบหูและศีรษะจนอึดอัด และอาการจะหนักมากขึ้นจนถึงปวดศีรษะและคลื่นไส้เมื่อถูกเครื่องบินเหวี่ยงไปมา นักบินจึงให้ความสำคัญกับหมวกบินมาก

นักบินหลายนายได้หล่อโฟมรองในให้เข้ากับศีรษะตนเองโดยเฉพาะ และใช้หมวกใบเดียวนี้ไปเรื่อยๆไม่เปลี่ยนจนกว่าจะพัง เพราะผมเป็นคนรูปร่างค่อนข้างใหญ่เจ้าหน้าที่จึงต้องเสียเวลาปรับจีสูทอยู่นานกว่าจะพอดี กว่าจะได้หมวกบินที่พอดีเหมือนกันก็ใช้เวลานานเพราะศีรษะก็ใหญ่ตามตัว รวมเวลาปรับชุดจีสูทและลองหมวกบินหมดไปประมาณชั่วโมงครึ่ง หลังจากนั้นจึงใช้เวลาอีกชั่วโมงไปกับการทำความรู้จักเครื่องบินL39

เครื่องบินรบจากค่ายยุโรปตะวันออกเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ผมค่อนข้างจะไม่คุ้น เคยได้เห็นL39ใกล้ๆเมื่อห้าปีที่แล้วที่ตาคลีตอนมาบินกับF16กับอีกครั้งในวันเด็กเมื่อปีก่อนแล้วก็ไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับมันเท่าไร จนกระทั่งได้รับเชิญนี่เองถึงได้มานั่งศึกษาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆและดูการบินของมันจากยูทูบด็อทคอม สิ่งทีได้เห็นคือL39เป็นเครื่องบินที่ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่บินด้วยท่าทางแปลกๆได้มากมายและความคล่องตัวสูง ถ้าจะเปรียบF16เป็นเล็กซัส เจ้าL39ก็น่าจะอยู่ประมาณโซลูนา วีออส

คุณขับมันไปทำงานได้เหมือนกันแต่เล็กกว่าและจุของได้น้อยกว่า กินน้ำมันก็น้อยกว่า เครื่องยนต์เดี่ยวเทอร์โบแฟนของมันส่งเสียงได้หนวกหูพอๆกับF16เพียงแต่ความเร็วยังไม่ถึงหนึงมัค ไม่มีสันดาบท้ายก็จริงแต่ก็เร็วพอแล้วกับการบินเรี่ยยอดไม้หลบเรดาร์แล้วเชิดหัวขึ้นใกล้ๆเป้า ก่อนจะหย่อนระเบิดลงแล้วบินต่ำแบบยุทธวิธี(Tactical)กลับฐาน ถึงความเร็วจะต่ำแต่ถ้านักบินฝึกมามากชั่วโมงพอและรู้จักใช้เทคนิกคการบินหลบเลี่ยง L39ก็ใช้สนับสนุนการรบภาคพื้นดินได้ดีและปลอดภัยพอๆกับเครื่องบินแบบเอนกประสงค์อื่นๆ ด้วยเหตุนี้เองนักบินกับเครื่องบินแบบนี้จึงต้องออกฝึกใช้อาวุธด้วยเพื่อจะได้มีความสามารถพออวดใครๆได้ว่าตนไม่เป็นรองใครและเอาตัวรอดได้เมื่อรบ

สภาพภายในห้องนักบินของL39โดยทั่วไปดูเรียบง่าย เหมือนกับมีแผงหน้าปัดกับเครื่องวัดต่างๆไว้พอจำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่ระบบจอภาพดิจิตอลสมบูรณ์แบบ(Glass Cockpit)เหมือนF16รุ่นใหม่ล่าสุด นักบินในที่นั่งหน้าใช้อุปกรณ์และระบบช่วยเดินอากาศแบบพื้นๆ มีจอแสดงผลHUD(Head Up Display)ในกระจกใสตั้งอยู่บนสุดของแผงหน้าปัด แสดงค่าต่างๆเช่นระดับสูง,ทิศทาง,ความเร็วและอื่นๆเท่าที่นักบินต้องทราบระหว่างบิน ไม่มีจอโทรทัศน์แสดงภาพสำหรับนักบินที่หนึ่งแต่มีจอภาพเขียว -ดำดึงภาพจากหน้าเครื่องมาให้นักบินที่นั่งหลังเห็น วางตำแหน่งคันบังคับไว้กลางทั้งที่นั่งหน้าและหลังเหมือนเครื่องบินเล็กปกติ คันเร่งอยู่ซ้ายเหมือนกันทั้งหน้าและหลัง นักบินทั้งคู่สามารถบังคับเครื่องบินได้เหมือนกัน แต่ในการบินตามปกติหน้าที่นักบินจะเป็นของคนอยู่หน้าส่่วนครูการบินจะคอยควบคุมในที่นั่งหลัง ฝาครอบห้องนักบินที่เปิดออกข้างขวาแทนที่จะอ้าขึ้นทางด้านหน้า ทำให้ผมนึกถึงเครื่องบินสมัยสงครามโลกครั้งที่2ของเยอรมันแบบเมสเซอร์ชมิดท์ Me109

นักบินและช่างอธิบายให้ผมทราบถึงระบบการทำงานต่างๆเท่าที่จำเป็น คือหน้าปัดวัดแรงจีเป็นเข็มบอกอยู่ด้านซ้ายสุดของแผงระบบ อุปกรณ์เส้นขอบฟ้าจำลองเป็นวงกลมวางอยู่กลางด้านบน ความแปลกแตกต่างจากF16ชัดๆคือนักบินสามารถดึงห่วงนิรภัยสองห่วงตรงใกล้หว่างขาขึ้นได้เลยเมื่อต้องการสละเครื่อง ไม่ต้องเปิดสวิทช์ให้กลไกพร้อมทำงาน(armed)ก่อน อีกประการคือเมื่อสวมจีสูทแล้วนักบินเดินขึ้นเครื่องได้เลย ไม่ต้องมีเครื่องประกอบร่ม(harness)เพราะมันถูกประกอบพร้อมร่มไว้แล้วในเก้าอี้ นักบินหย่อนตัวลงไปแล้วดึงเข็มขัดสี่จุดขึ้นรัดตัว ปรับให้พอดีกับรูปร่างและการเคลื่อนไหวเสร็จเท่านั้นก็พร้อมบินได้ทุกท่า สละเครื่องได้ปลอดภัยพร้อมร่มชูชีพซึ่งจะกางออกหลังจากที่นั่งหลุดจากตัวนักบิน

เพราะเป็นเครื่องบินเล็กที่ราคาถูกมากเมื่อเทียบกับF16ห้องนักบินของ L39จึงพลอยมีที่ว่างจำกัดไปด้วย มันไม่โอ่โถงเหมือนF16 ไม่มีอะไรที่เป็นอวกาศให้ดูมากมายเท่า มีช่องเครื่องปรับอากาศวางอยู่ขวามือเป็นท่อเล็กๆขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง1นิ้วยื่นออกมาให้ปรับได้เล็กน้อย ลมเย็นสบายพอให้นั่งได้แบบตัวแห้งสนิทตลอดชั่วโมงกว่าๆ เก้าอี้นักบินที่บังคับให้หลังตรงนั้นปรับความสูงได้เหมือนรถยนต์ด้วยสวิทช์ทางซ้ายด้านล่างของที่นั่ง จัดได้ว่าเป็นเครื่องบินรบที่นั่งสบายพอสมควรในเวลาจำกัดแค่ชั่วโมงกว่าๆ แต่จะสบายกว่านั้นอีกถ้าคุณเป็นคนตัวเล็กเพราะจะเหลือที่ว่างให้ขยับแข้งขาได้มาก ถึงจะเป็นเครื่องบินเจ็ตแต่L39ก็ทำความเร็วต่ำกว่าF5และF16แรงจีที่เครื่องเหวี่ยงเป็นปกติจึงอยู่ที่5ในขณะที่เครื่องบินตระกูลFทั้งหลายทำได้7-9จี

บทความตอนนี้เป็นการกล่าวอย่างกว้างๆถึงสมรรถนะของเครื่องบินและจุดประสงค์ของการฝึกซ้อม ตอนต่อไปจะเป็นรายละเอียดของปฏิบัติการตั้งแต่ก่อนออกบินจนถึงรูปแบบการปฏิบัติต่างๆ เช่นBasic Box Pattern การจัดหมู่บินทางยุทธวิธี(Tactical Formation)และอื่นๆ ซึ่งกองทัพอากาศบอกว่ายินดีให้เขียนถึงได้เต็มที่ครับ

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

18…16…12 หรือแค่6? (จบ)


ดังที่ขึ้นหัวเรื่องไว้เป็นตัวเลข และตัวเลขนี้คือจำนวนเครื่องบินขับไล่ใน1ฝูงนั่นเอง จะป้องกันชาติให้ได้เต็มประสิทธิภาพก็ต้องอาศัยจำนวน ซึ่งตามมาตรฐานของกองทัพอากาศทั่วโลกระบุไว้ว่าต้องเป็นฝูงละ18เครื่องโดยคำนวณจากอัตราความสูญเสีย(attrition rate)ทั้งในยามปกติและยามสงคราม จำนวน16คือทางเลือกเมื่อใช้เครื่องบินประสิทธิภาพสูงขึ้น 14เครื่องคือจำนวนน้อยที่สุดเท่าที่ยอมให้บินได้โดยยังคงประสิทธิภาพไว้พอประมาณ 12เครื่องคือจำนวนที่กองทัพอากาศไทยต้องการ ซึ่งยังน้อยกว่ามาตรฐานหากเกิดเหตุให้ต้องใช้เครื่องบินรบ น้อยกว่ามาตรฐานคือการนำเครื่องบินฝูงนั้นเข้าสมรภูมิแล้วมีโอกาสอยู่รอดน้อย ต้องใช้เทคโนโลยีเครือข่ายและระบบอาวุธช่วยกันสุดๆเพื่อดำรงความอยู่รอดไว้ให้ได้

จำนวนสุดท้ายคือ6เครื่องอันเป็นล็อตแรกของเครื่องบินขับไล่JAS39”กริปเปน” ซึ่งถือว่ามีไว้ก็ทำอะไรไม่ได้เลย หากไม่เพิ่มก็มีโอกาสมากกว่า90เปอร์เซ็นต์ที่จะละลายเงินภาษีทิ้งทีละหมื่นกว่าล้านบาท แต่ยังต้องเอามาเพราะมีแผนจะจัดหาให้ได้12เครื่อง การตัดงบประมาณโดยไม่พิจารณาให้ถ่องแท้และไม่กำหนดให้แน่ชัดว่าจะได้เครื่องบินจำนวนหลังอีกเมื่อไรนั้น ถือว่ารัฐบาลเองก็มีส่วนอย่างมากในการผลาญเงินงบประมาณมหาศาลทิ้งไปเปล่าๆ ลองมาดูกันว่าทำไมจำนวนเครื่องบินจึงสำคัญ

ในอดีตจนถึงปัจจุบัน การจะกำหนดให้เครื่องบินขับไล่/โจมตี มีฝูงละกี่เครื่องนั้น กองทัพอากาศจะใช้เทคโนโลยีเป็นตัวกำหนด เช่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่2นั้นจะทิ้งระเบิดเป้าหมาย1แห่งต้องใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดกับเครื่องบินขับไล่คอยคุ้มกันรวมกันหลายร้อยเครื่อง ครั้นมาถึงสงครามเวียตนามสหรัฐฯใช้เอฟ105จัดหมู่บิน32-36เครื่องเพื่อทำลายเป้าเพียงเป้าเดียว กว่าจะทำลายสะพานธานห์ หัวในเวียตนามเหนือได้ก็เสียเครื่องบินไป11เครื่องกับระเบิดอีกเป็นร้อยลูก ต่างกับปัจจุบันที่ใช้เครื่องบินเพียง2เครื่องที่บินเพียงเที่ยวเดียวกับระเบิดฉลาดไม่กี่ลูกก็เล่นงานเป้าแบบเดียวกันได้

จำนวนเครื่องบินมากๆต่อฝูงเมื่อเกือบ40ปีที่แล้วเพราะเทคโนโลยียังพัฒนาไม่ไกลพอ ขั้นตอนเตรียมตัวของนักบินก่อนจะทำลายเป้าหมายในยุคนั้นยุ่งยาก ต้องบินเล็ดลอดเข้าไปถ่ายภาพเป้าให้ได้เสียก่อนแล้วนำมาตีความ ให้ทราบว่าเป้าสร้างจากอะไรแล้วประมาณระเบิดให้แรงพอทำลาย ได้เป้าแล้วรู้ขนาดระเบิดแล้วยังต้องคำนวณความสูงกับมุมทิ้งให้ได้อีกเพื่อจะทิ้งให้ถูก วิบากกรรมยังไม่หมดเพราะเมื่อบินจนถึงเป้าหมายแล้วยังมีทั้งลมให้ต้องเผื่อระยะ กับระบบป้องกันภัยทางอากาศของข้าศึกให้หลบหลีก การทำลายเป้าหมายทางยุทธศาสตร์จึงต้องใช้เครื่องบินมากเพื่อทิ้งปูพรม พึ่งได้แค่จำนวนระเบิดกับโชค

แต่ในปัจจุบันนี้นักบินมีตัวช่วยมากขึ้น ทั้งภาพถ่ายจากดาวเทียม ระบบระบุตำแหน่งภูมิศาสตร์(GPS) ระเบิดฉลาด(Smart Bomb)นำวิถีด้วยแสงเลเซอร์ซึ่งทำได้ทั้งจากหน่วยรบภาคพื้นดิน เล็ดลอดเข้าไปฉายลำแสงทาบเป้าให้ระเบิดจับก็ได้ หรือจะให้มันพุ่งเกาะสัญญาณดาวเทียมเข้าเป้าตามพิกัดจีพีเอสก็ได้ เมื่อรู้เป้าหมายนักบินแทบไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากนำเครื่องบินมุ่งเข้าหา ภาพถ่ายดาวเทียมระบุได้ถึงโครงสร้างของเป้าและคำนวณขนาดของระเบิดให้เสร็จว่าต้องหนักกี่ปอนด์ แค่บินให้ได้ตามที่คอมพิวเตอร์บนเครื่องบอกเท่านั้นแล้วก็กดปุ่มปล่อยอาวุธ ก่อนจะหันหน้ากลับฐานได้เลยโดยไม่ต้องดูผลงาน เทคโนโลยีปัจจุบันรับประกันความถูกต้องของระบบอาวุธไว้เกือบ100%

จากสามสิบกว่าเครื่องเมื่อเกือบ40ปีก่อนลดมาเหลือ16เครื่องในปัจจุบัน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทำให้เครื่องบินและระบบอาวุธฉลาดขึ้น เมื่อผนวกกับระบบการรบแบบเครือข่ายที่สามารถนำเครื่องบินความเร็วสูงมารุมโจมตีเป้าหมายในเวลาอันสั้นได้ด้วยแล้ว อัตราการอยู่รอดของนักบินก็สูงขึ้นด้วย แต่ก็ยังมีข้อแม้ว่าต้องด้วยปริมาณหนึ่งเท่านั้นอันเป็นมาตรฐาน ห้ามต่ำกว่านั้นเพราะบินขึ้นไปก็อาจไม่รอด หรือบินไม่ได้เพราะไม่ปลอดภัย ทำไมจึงพูดอย่างนั้น?

เพราะด้วยอัตราการสูญเสียซึ่งเป็นมาตรฐานของกองทัพอากาศทั่วโลก เครื่องบินขับไล่/โจมตี1ฝูงจะสามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพแค่70% จำนวนเปอร์เซ็นต์ที่อ้างนี้กองทัพอากาศไทยไม่ได้กำหนดแต่เป็นอัตราสากลที่ใช้กันทั่วโลก เพราะเครื่องบินรบไม่เหมือนรถยนต์ มันประกอบด้วยวัสดุชิ้นส่วนและเทคโนโลยีอันละเอียดอ่อนมากมาย เมื่อถึงเวลาจึงต้องนำเข้าซ่อมบำรุงและตรวจสอบ เครื่องบินอย่างเอฟ16เมื่อครบ100ชั่วโมงต้องหยุดบินเพื่อตรวจสอบเครื่องยนต์และโครงสร้างอย่างละเอียด อาจจะเร็วกว่านั้นถ้านักบินรีดเค้นประสิทธิภาพของเครื่องจนเกือบจะเกินรับไหว(เช่นเลี้ยวด้วยแรงจีสูงเกือบสุดขีดจำกัด) โกหกก็ไม่ได้เพราะคอมพิวเตอร์บนเครื่องมันฟ้อง และจะไม่เสี่ยงเพราะหมายถึงชีวิต

เมื่อบินได้จริงๆ70เปอร์เซ็นต์หากจัดฝูงบินไว้ฝูงละ16 ก็จะเหลือเครื่องที่ใช้งานได้จริงๆ(และปลอดภัย)11เครื่อง ซึ่งพอเอาเข้าจริงอาจจะน้อยกว่านั้นหากเกิดอุบัติเหตุ,ถูกยิงตก,ขัดข้อง,ไถลตกรันเวย์ ฯลฯ แล้วอีก11เครื่องถ้าไม่มีเหตุให้ลดจำนวนล่ะจะใช้บินได้เต็มที่หรือเปล่า? ไม่ใช่อีกเพราะต้องจอดพร้อมรบตลอดเวลา(alert)ให้วิ่งขึ้นได้ภายใน5นาที2เครื่อง รอผลัด2ภายใน2ชั่วโมงอีก2เครื่อง เพราะเจ็ตขับไล่สามารถอยู่ในอากาศได้เต็มที่2ชั่วโมงแต่อาจสั้นกว่านั้นถ้าขัดข้องหรือตก 2เครื่องทีเหลือก็ต้องวิ่งขึ้นแทน

สรุปคือจอดไว้นิ่งๆแล้ว4 เหลือบินได้7นักบินก็ต้องเอาออกไปฝึกบินตามวงรอบปกติเพื่อรักษาความสม่ำเสมอจะได้พร้อมรบ บินเดี่ยวบ้างแบ่งข้างฝึกยิงกันเองบ้างเพื่อความชำนาญ พอมีภารกิจจะได้รบแล้วกลับบ้านมาได้แบบเป็นๆทั้งคนและเครื่องบิน ที่ต้องบินทีละ2เครื่องก็เพราะเพื่อความปลอดภัยและผลในทางปฏิบัติตามยุทธวิธี ถ้าเป็นภารกิจอากาศสู่อากาศ(ทำลายเครื่องบินข้าศึก/ครองอากาศ)หนึ่งหมู่จะมี2เครื่อง แต่พอเป็นโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดิน1หมู่จะใช้4เครื่อง นี่คือคำว่า”มาตรฐาน”และเป็นจำนวนที่”ใช้ได้ผลเต็มประสิทธิภาพ”

ถ้าเหลือฝูงละ12เครื่อง จำนวน70%ของมันคือ8เครื่อง ยังสแตนด์บายฉุกเฉิน4เครื่องเท่าเดิมเหลือให้บินฝึกแค่4 อันหมายถึงขีดความสามารถของนักบินจะด้อยลงอีก ไม่อยากพูดถึงกริปเปน6เครื่องนี้เลยแต่ต้องพูดเพราะได้มาแค่นี้ ลองคิดดูแบบขมขื่นจะพบว่าแม้จะมีระบบเครือข่ายช่วยก็ตามเจ้าสิงโตมีปีกจากสวีเดนก็จะแทบเหมือนลูกแมวหงอยๆไปเลยด้วยจำนวน เพราะ70%ของ6คือ4เครื่อง! เอาจอดสแตนด์บายให้พร้อมบินขึ้นใน5นาทีแค่2เครื่องนั้นพอได้ แต่ถ้าต้องทำภารกิจต่อเนื่องนั้นอย่าหวังเพราะแทบไม่เหลือ เหลือเครื่องให้นักบินฝึกแค่2เครื่องอีก2เครื่องเข้าตรวจสอบตามกำหนดก็บินไม่ได้ ไหนจะต้องใช้เครื่องบินแบบอื่นมาเป็นข้าศึกสมมุติอีก พอเอฟ5ถูกปลดประจำการไปแล้วคงไม่พ้นต้องโยกฝูงใดฝูงหนึ่งของเอฟ16ไปไว้ที่สุราษฎร์

เรื่องแบบนี้กองทัพอากาศเขาคงไม่ได้นั่งเทียนชงเรื่องของบประมาณมาผลาญหรอกครับ ตัวเลขมาตรฐานมันมีอยู่ตรวจสอบได้ ถ้าจะบิดเบือนว่าแพงก็เพราะจงใจจะพูดให้เสียหาย ที่จริงแล้วเราซื้อทั้งระบบไม่ได้ซื้อแค่เครื่องบินอย่างเดียว(ค้นบทความเดิมของผมในบล็อกหัวเรื่องอ่านได้ ชื่อเรื่อง”กริปเปน ความจำเป็นและเหตุผล) เขายอมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ เอานักบินและช่างเครื่องเราไปกินไปนอนไปฝึกอยู่สวีเดนเป็นปี โรงงานสร้างอะไหล่ก็จะมาเปิดในบ้านเราอีก ถ้าใครจะโจมตีกันก็ขอให้ดูสักนิดว่าสวีเดนคือประเทศที่โปร่งใสและยินยอมให้ผู้สงสัยเข้าตรวจสอบ เงินทุกบาทที่เราจ่ายนั้นตรงเข้าคลังของรัฐบาลสวีเดนแน่ไม่มีตกหล่น เราไม่ได้ซื้อยุทธภัณฑ์จากประเทศล้าหลังที่มีแต่เรื่องทุจริต แต่ซื้อจากสวีเดนที่สะกดคำว่าคอรัปชั่นไม่ถูกด้วยซ้ำ

ต้นปีพ.ศ.2554นี้กริปเปน6เครื่องแรกจะมาพร้อมระบบเครือข่ายและอื่นๆ ตามความเป็นจริงแล้วสามารถจัดฝูงกริปเปนให้น้อยกว่าเอฟ16ได้ด้วยเทคโนโลยีเครือข่าย แต่ให้นักบินเก่งรบได้ไม่โดนยิงตกก็ควรเป็น14ไม่ใช่12 ที่กองทัพอากาศเขาขอไปแค่นี้ก็ถือว่ายอมกันถึงที่สุดแล้ว เพราะเข้าใจว่าเป็นของแพงและรัฐบาลเราไม่มีเงิน ถึงมีก็เอาไปทำอย่างอื่นหมด(ไม่ได้พูดสักคำนะว่าผลาญ) เงินจำนวนเกือบสองหมื่นล้านกับการใช้เครื่องบินทั้งฝูงได้40ปี คิดออกมาเป็นปีเป็นเดือนแล้วยังถูกกว่าการเอาเงินจำนวนเท่ากันหรือมากกว่าไปละเลงเล่นในโครงการอื่นๆของรัฐบาล

ถึงตรงนี้ถ้าจะบอกว่า”ซื้อยกโหลคุ้มกว่า”ตามเหตุผลที่ยกมาอ้างก็ต้องใช่ เพราะครึ่งโหลมันทำอะไรไม่ได้จริงๆ แล้วไหนจะเครื่องบินทั้งเอฟ5อี/เอฟกับเอฟ16เอ/บีที่จะทยอยปลดประจำการอีกในอนาคตอันใกล้ ไม่นับแอล39กับอัลฟาเจ็ต ความหนักใจจึงใช่ว่าจะมีแต่ปัญหากริปเปนเท่านั้น อาการของกองทัพอากาศน่าเป็นห่วงจริงๆถ้ารัฐบาลไม่เห็นความสำคัญของการต่อรองด้วยกำลังทางอากาศ ขนาดเราเลือกเป้าทิ้งระเบิดในเขมรได้ตามใจชอบเขาก็ยังกำแหงขนาดนี้ ถ้าเราอ่อนแอลงโดยไม่มีอะไรทดแทนพี่น้องของเราจะเสียเลือดเนื้ออีกเท่าไรถ้าเขาก่อเรื่องหนักกว่าเดิม?

เรามีกำลังทางอากาศที่ใช้งานได้คุ้มเพื่อสันติ เพื่อไม่ต้องรบครับ สิงคโปร์ไม่เคยรบกับใครแต่มีนภานุภาพมากจนต้องฝากอเมริกากับเราเก็บไว้ มาเลเซียมีซู30ที่บินไกลถึงกรุงเทพโดยไม่ต้องเติมน้ำมันกลางอากาศ พม่าไม่ได้รบกับเราเหมือนกันแต่มีมิก29ที่บินได้ไกล ขนระเบิดได้มากพอกันไว้เพื่ออะไร? ถ้าคุณคิดไม่ซื่ออยากกินมะม่วงของเพื่อนบ้าน ระหว่างบ้านที่เลี้ยงหมาชิสุกับร็อตไวเลอร์คุณจะเลือกปีนรั้วบ้านไหน?

ฝากปัญหานี้ไว้ให้ท่านผู้ทรงเกียรตินำไปไตร่ตรองครับ หวังว่าพวกท่านคงจะคิดได้ถ้ารักชาติกันจริงๆ!