วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Tactical vest สวมสบาย ถอดง่าย ปลอดภัยกว่า




ในการปฏิบัติภารกิจแต่นานมา ทหารจะเข้าสู่สนามรบพร้อมอาวุธและยุทโธปกรณ์อื่นมากกว่า1สิ่ง ต้องมีเครื่องช่วยติดตัวไปด้วยเพื่อให้รบได้คล่องแคล่ว มือว่างทั้งสองมือเพื่อป่ายปีนและใช้อาวุธ เริ่มจากเอามีดสั้นเหน็บเข็มขัดดาบยาวสะพายไหล่ ถ้ามีธนูก็สะพายกระบอกใส่ลูกธนู้ไว้ข้างหลัง ต่อมาเมื่อโลกเจริญขึ้นจนมีกระสุนดินดำใช้ยุทโธปกรณ์ติดตัวทหารก็มากขึ้น เขาต้องเข้าสู้รบพร้อมกับอาวุธคือปืนและเครื่องกระสุนอันประกอบด้วยไม้กระทุ้ง,กระสุน,แก็ปและดินดำรวมทั้งน้ำดื่มและอาหาร คำถามคือจะเอาพวกเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดนี้ไว้ตรงไหนจึงจะหยิบใช้งานได้ง่ายและเร็วที่สุด? คำตอบอันเกิดจากสามัญสำนึกเมื่อใช้งานคือที่เอว เข็มขัดสนามยุคแรกจึงเกิดขึ้นพร้อมกับปืนคาบศิลาและกระสุนดินดำเมื่อหลายร้อยปีก่อน
ในยุคอุตสาหกรรมเมื่ออาวุธดีขึ้น กระสุนเป็นโลหะหัวแหลมคัดปลอกด้วยการดึงลูกเลื่อน น้ำหนักของยุทโธปกรณ์ติดตัวทหารก็มากขึ้น น้ำหนักมากทำให้กดทับส่วนสำคัญคือเอว เดินมากๆก็เมื่อย ไม่นับถึงความเจ็บปวดยามวิ่งและคลานสูง/ต่ำไปในภูมิประเทศ มีหลายครั้งที่ต้องม้วนพลิกตัวจัดท่าทางการใช้อาวุธ ฉุดกระชากลากถูอุปกรณ์ต่างๆไปตามพื้น ความพยายามเพื่อลดน้ำหนักติดตัวทหารหรืออย่างน้อยก็ช่วยให้ทหารสบายตัวขึ้นจึงมีอยู่ตลอดเวลา ยิ่งคิดกันมากขึ้นเมื่อเริ่มสงครามโลกครั้งที่1ด้วยความคิดว่าต้องนำอุปกรณ์ติดตัวทหารไปให้มากแต่ขณะเดียวกันต้องลดภาระจากความอ่อนล้าเพราะน้ำหนักกดเอว อันจะทำให้ทหารอ่อนล้าจนด้อยประสิทธิภาพได้แม้ยังไม่ได้เข้าสู้รบ
สายรั้งเข็มขัดสนามหรือ”สายเก่ง” จึงเป็นอุปกรณ์มาตรฐานติดเครื่องแบบสนาม ปรากฏให้เห็นในภาพประวัติศาสตร์ทั้งในกองทัพเยอรมัน,อังกฤษ,สหรัฐฯและชาติพันธมิตร ประโยชน์คือมันช่วงแบ่งเบาน้ำหนักกดทับจากบั้นเอวให้กระจายไปยังไหล่และแผ่นหลัง เมื่อเดินและวิ่งน้ำหนักยุทโธปกรณ์จะไม่กดเอวมากจนเจ็บเพราะถูกเฉลี่ยมาไว้ที่สายเก่ง
กองทัพใหญ่ๆใช้สายเก่งกับเข็มขัดสนาม ทั้งที่ผลิตจากหนังแท้และผ้าใบแพร่หลายมาตั้งแต่ประมาณปีค.ศ.1910 ด้วยอุปกรณ์มาตรฐานติดตัวทหารคือเครื่องกระสุน อุปกรณ์ปฐมพยาบาล พลั่วสนาม กระติกน้ำดื่ม ระเบิดขว้าง กระเป๋าอาหาร แผนที่,เข็มทิศ ปืนพกพร้อมซองกระสุนและกระสุนสำรอง มีด/ดาบปลายปืน ทั้งหมดนี้รวมน้ำหนักได้เกือบ10ก.ก.ที่ติดอยู่รอบเอว เปรียบเทียบกับนิยายจะพบว่าทหารหนึ่งนายพกของออกไปรบที่เอวได้มากพอๆกับแบ็ตแมน แต่หนักกว่าเพราะเป็นของใช้งานจริง ถ้าไม่มีสายเก่งมารั้งเฉลี่ยน้ำหนักลงไหล่และแผ่นหลังการเดินทางในภูมิประเทศจะเป็นสิ่งทรมานสังขารที่สุด ยังไม่รวมเป้เครื่องหลังและอาวุธประจำกายหนักรวมกัน30กว่าก.ก.เต็มอัตรา
สายเก่งประกอบเข็มขัดสนามถูกใช้งานมายาวนานเกือบศตวรรษ ถึงจะเปลี่ยนแปรรูปแบบไปบ้างแต่ส่วนประกอบสำคัญก็ยังคงเดิม กองทัพสหรัฐฯให้ชื่อมันเป็นทางการว่าระบบเครื่องสนามเอนกประสงค์(อลิซ : ALICE : All Purposes Light weight Individual Carrying Equipment)และยังใช้มันเรื่อยมาถึงปัจจุบัน ที่ต้องเรียกว่า”ระบบ”(system)เพราะมีอุปกรณ์ย่อยๆมาประกอบกันเพื่ออำนวยความสะดวก จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ได้แต่อุปกรณ์หลักๆคือเข็มขัดสนามและสายเก่งยังคงอยู่เป็นฐาน
พัฒนาการระบบนำอุปกรณ์ติดตัวทหารเข้าสนามรบเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จาก”อลิซ”ที่เข้ามาแทนที่อุปกรณ์เดิมคือ”แอลซีอี”(LCE M-1956:Load Carrying Equipment)ใช้งานเป็นทางการจากค.ศ.1956-ถึงปีค.ศ.1973ช่วงปลายสงครามเวียตนาม กลายมาเป็น”เอ็มแอลซีอี”(MLCE M-1967:Modernized Load-Carrying Equipment)เพื่อให้ทหารนำยุทโธปกรณ์ติดตัวไปรบได้มากกว่าแต่สบายกว่าเดิม
นอกจากสหรัฐฯแล้วยังมีอีกหลายชาติ ที่พยายามปรับปรุงระบบเดียวกันของตัวเองขึ้นมาใช้งานให้เหมาะกับสภาพอากาศและภูมิประเทศ โดยทั้งหมดยังยึดพื้นฐานใกล้เคียงกับสหรัฐฯที่ว่าต้องมีสายรั้งเข็มขัดเพื่อแบ่งเบาภาระน้ำหนักจากบั้นเอวทหาร ซึ่งข้อดีคือเหมาะสำหรับการรบในเขตป่าที่ต้องการความคล่องตัว เครื่องแบบสนามประกอบLCEทำให้ทหารเคลื่อนไหวง่ายไร้สิ่งเกะกะหน้าและหลัง นำพากระสุนไปได้ทั้งของอาวุธประจำกายและของปืนพก
เมื่อหลักนิยมของการทำสงครามเปลี่ยนไป จากการรบในป่ายิงกันไกลๆมาเป็นการรบในเมืองที่ยิงกันใกล้ขึ้นและซุ่มยิง/ถูกยิงได้รอบตัว ทหารจึงเคลื่อนที่ช้ากว่าเดิมและต้องสวมเกราะ คำถามก็ตามมาอีกว่าถ้าสวมเกราะพร้อมสายเก่งและเข็มขัดสนามจะไม่รุงรังแย่หรือ? คำตอบก็คือต้องมีระบบใหม่ที่ช่วยให้ทหารรบได้ทั้งเสื้อเกราะแต่ในขณะเดียวกันต้องใช้พื้นที่ว่างทั้งด้านหน้า,หลังและข้างลำตัวให้ได้ประโยชน์ เป็นที่มาของตัวย่อว่า”MOLLE”หรือชื่อเต็มว่า”Modular Lightweight Load-carrying Equipment” เรียกง่ายๆให้จำได้ถนัดๆว่า”มอลลี่”
ด้วยวิธีง่ายๆคือใช้แถบผ้าใบหรือไนลอนหนาเย็บติดเข้ากับเป้และอุปกรณ์สนามอื่นๆ เช่นซองปืน,กระเป๋าอุปกรณ์ติดเข็มขัสนามฯลฯ เว้นระยะเย็บเป็นช่องเล็กๆติดไว้หลายแถบเรียงกันลงมาในแนวดิ่ง ช่องพวกนี้จะเป็นจุดสอดตัวยึดหรือแถบยึดของกระเป๋าใส่อุปกรณ์ได้หลากหลาย ทั้งซองกระสุน ซองวิทยุ กระเป๋าอาหารและอื่นๆอีกมากมายที่จะกระจายตัวกันอยู่เต็มแผ่นหน้าและหลัง ตั้งแต่แนวกระดูกไหปลาร้าถึงแนวเข็มขัดของอุปกรณ์อีกตัวที่พร้อมเป็นฐานให้สับเปลี่ยนอุปกรณ์ประกอบได้
อุปกรณ์ที่ว่านี้คือเสื้อหุ้มเกราะเอนกประสงค์(MTV :Modular Tactical Vest) รูปแบบใหม่ของเกราะกันกระสุนแบบเอนกประสงค์ ประกอบด้วยเปลือกระบบมอลลี่และตัวแผ่นเกราะที่ทหารสามารถเปลี่ยนเองได้ แค่ดึงฝาแถบเวลโครออกแล้วเลือกแผ่นเกราะเซรามิกที่มีหลายระดับการป้องกันสอดเข้าไป ตั้งแต่แบบที่ป้องกันแค่กระสุนปืนพก11ม.ม.ได้ไปจนถึงกันกระสุนปืนกลเบาขนาด5.56ม.ม.และกระสุนปืนอาก้าขนาด7.62มิลลิเมตร
เกราะชนิดนี้คือนวัตกรรมที่ช่วยให้ทหารปลอดภัยและสบายตัวได้จริงในการรบเขตเมือง ด้วยเปลือกผ้าคอร์ดูราชั้นนอกพร้อมช่องสอดเกราะ ทหารสามารถเลือกแผ่นเกราะป้องกันได้รอบตัวหน้า,หลัง,ซ้าย,ขวา แถบมอลลี่ที่ติดรอบตัวช่วยให้ทหารเลือกของติดตัวไปได้ตามสะดวก ถอดเปลี่ยนตำแหน่งได้เพื่อไม่ให้กีดขวางการใช้อาวุธ ช่องใส่ซองกระสุนถูกสร้างมาให้ใช้ได้กับทั้งปืนแบบอเมริกันและรัสเซีย ด้วยการปรับความพอดีจากแผ่นเวลโครฝาของมันจึงปิดครอบซองกระสุนได้สนิท หยิบใช้ได้ง่ายเพียงดึงขึ้นตรงๆ ทหารนำกระสุนบรรจุซองเสร็จเข้าสนามได้ไม่อั้นตราบใดที่เขาวิ่งไหวด้วยMTVและมอลลี่!
ราวกับว่านี่คือระบบเครื่องช่วยรบที่ลงตัวแล้ว เมื่อกองทัพสหรัฐฯนำสมรรถนะของการกระจายน้ำหนักและความสะดวกในมอลลี่กับเกราะกันกระสุนมาผนวกกันได้ เสื้อเวสต์ประกอบเกราะแบบที่เห็นได้แพร่หลายในอิรักและอาฟกานิสถานคืออินเตอร์เซ็ปเตอร์(Interceptor) ที่ถูกพัฒนาใช้งานในทศวรรษ1990ให้ป้องกันลำตัวทหารได้รอบทิศรวมลงมาถึงหว่างขาด้วยแผ่นเคฟลาร์สามแหลี่ยม
อีกรูปแบบของTactical VestคือระบบCIRAS(Combat Integrated Releasable Armor System) เป็นเวสต์แบบปรับปรุงให้กระชับขึ้น แต่สวมง่ายด้วยแถบเวลโครรอบตัว ถอดง่ายในยามฉุกเฉินเมื่อต้องการปฐมพยาบาลด้วยการดึงลวดเส้นเดียวที่ร้อยจุดยึดด้านหลัง สอดข้ามไหล่มาเก็บเป็นรูปห่วงตรงหน้าอก เมื่อดึงห่วงปลายลวดอีกด้านจะหลุดจากจุดยึดทั้งหมด ทำให้ทั้งชุดเกราะหลุดจากตัวภายในเวลาไม่ถึงสองวินาที “ไซราส”ออกแบบไว้ให้สอดแผ่นเกราะกันกระสุนระดับต่างๆได้รอบตัว พร้อมช่องใส่ซองกระสุนและกระเป๋าอุปกรณ์อื่นที่ประกอบและถอดได้แบบโมดูลาร์ เหมาะสำหรับหน่วยรบพิเศษที่ต้องการความคล่องตัว แต่ขณะเดียวกันทหารต้องปลอดภัยจากการปกป้องรอบตัว กระจายน้ำหนักตลอดช่วงลำตัวด้านบนโดยไม่กดทับเอวให้เจ็บ
นอกจากรัฐบาลจะผลิตให้ทหารใช้แล้วเอกชนอีกหลายบริษัทยังผลิตจำหน่ายเป็นทางเลือก เช่นแบล็คฮอว์ค อินดัสตรีและแบรนด์อื่นๆทั้งในและนอกสหรัฐฯ มอลลี่ของไทยเองที่ตัดเย็บได้ดีไม่แพ้กันก็คือแบรนด์”ค่าย”(KAIY)ที่ทหารและตำรวจรู้จักดีจากซองปืนรัดต้นขา เวสต์แบบต่างๆที่ใช้งานได้จริงและปัจจุบันเริ่มกลายเป็นทางเลือกของหน่วยงานรักษากฎหมายและกองทัพ ด้วยวัสดุดี ตัดเย็บประณีตและทน ข้อสำคัญคือราคาถูกกว่าแบรนด์นอกเป็นครึ่ง
ปัจจุบันกองทัพไทยเห็นความสำคัญของเกราะมากขึ้น เพียงแต่เวสต์ของเรายังไม่เป็นโมดูลาร์เต็มรูปแบบและยังต้องพัฒนาอีกมากด้านแบบและความกระชับ เพื่อการเคลื่อนไหวที่สะดวก,ปลอดภัยและเป็นระเบียบ ข้อสำคัญที่ใครๆอาจลืมคิดไปคือแบบของมันต้อง”เท่”พอให้ทหารอยากสวมได้โดยไม่ต้องบังคับ อะไรที่มีประโยชน์ก็รับของเขามาใช้เถิด ทีเครื่องแบบลายพรางดิจิตอลยังเปลี่ยนตามเขาได้เลยนี่!

Land Warrior System เพื่อนักรบพันธุ์ใหม่




หลักนิยมของกองทัพทั่วโลกที่ถูกกล่าวขวัญกันมากตอนนี้คือสงครามเครือข่าย(Network Centric Warfare : NCO) ด้วยแนวความคิดคือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอยู่และเฉพาะทางให้ได้ประโยชน์สูงสุด เพื่อเอื้ออำนวยให้ทหารหยั่งรู้สถานการณ์(Siruation Awareness)ได้เร็ว มีเวลาตัดสินใจพอเพียงที่จะชิงลงมือก่อนฝ่ายตรงข้าม ยังผลต่อเนื่องคือลดการสูญเสียของฝ่ายตน คงไว้ซึ่งความอยู่รอดในสนามรบและสามารถทำลายเป้าหมายได้รวดเร็วด้วยกำลังที่ไม่จำเป็นต้องมากกว่าเสมอไป ผลพลอยได้คือกองทัพไม่จำเป็นต้องใหญ่เสมอไปก็รบชนะได้ด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่า
กำลังรบทั้งสามมิติต้องประสานงานกันได้โดยไม่จำเป็นต้องพูด ด้วยข้อความและสัญลักษณ์จากจอภาพและภาพเคลื่อนไหวจากดาวเทียมและอากาศยานไร้นักบิน ทั้งหมดนี้จะรวมกันเป็นระบบด้วยความมุ่งหมายสำคัญคือเพื่อหยั่งรู้สถานการณ์ ให้ทหารอยู่รอดในสนามรบขณะเดียวกับทำลายเป้าหมายได้สำเร็จ
ด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ยุทโธปกรณ์เล็กลงและเบาขึ้นจนทหารสามารถนำสิ่งอุปกรณ์อันจำเป็นติดตัวไปได้มากกว่าเดิม การทำให้ทหารราบกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบจึงเกิดขึ้นด้วยชื่อว่า Land Warrior System โครงการปรับปรุงเครื่องช่วยรบของกองทัพบกสหรัฐฯที่ดำเนินการเป็นรูปธรรมในปี2007 เพื่อใช้เทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารช่วยให้ทหารหยั่งรู้สถานการณ์มากที่สุด นำไปสู่การลดความสูญเสียกำลังพลซึ่งเป็นทรัพยากรสูงค่าที่สุดในกองทัพ
ด้วยหลักการสำคัญๆ3ประการที่ทำให้เกิดระบบแลนด์วอริเออร์คือ 1.ใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีสูงประกอบอาวุธประจำกาย 2.เพิ่มอำนาจการติดต่อสื่อสาร บัญชาการและควบคุมให้ทหารราบในแนวหน้า 3.ให้ทหารแต่ละนายคือหน่วยรบในตัวเอง สามารถดำเนินกลยุทธ์ได้เองแทนการเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยรบใหญ่กว่า
โครงการนี้เกิดจากแนวความคิดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทหารและลดอัตราการสูญเสีย ได้ทดลองกันมาแล้วเกือบยี่สิบปีตั้งแต่ก่อนสงครามอ่าวครั้งแรกไม่นาน โดยหัวเรือใหญ่คือเนติกแล็บ(ศูนย์วิจัยและพัฒนาวิศวกรรมแห่งกองทัพบก : Natick Doldier Research Development and Engineering Center) เน้นที่วิธีการทำให้ทหารแต่ละนายกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบการรบแบบNCO
โดยโครงการแลนด์วอริเออร์จะถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการกองทัพแห่งอนาคต(Future Force Warrior) เพื่อจัดหาอุปกรณ์อีเลคทรอนิคช่วยรบน้ำหนักเบาให้ทหารในระดับหน่วยรบย่อยใช้ ให้รบได้เป็นเครือข่าย(NCO.)สมบูรณ์แบบ โดยโครงการนี้เริ่มขึ้นในปี2006โดยเจ้าของโครงการคือกองทัพบกและบริษัทผู้รับช่วงพัฒนาคือบริษัทเจเนอรัล ไดนามิก ซี4 ซิสเต็ม หลักการคือทำทุกอย่างให้ทหารหยั่งรู้สถานการณ์รอบตัวมากที่สุด รวมทั้งสามารถติดต่อประสานงานกับหน่วยรบเดียวกัน/ใกล้เคียง เครื่องบินและเรือรบได้
ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วหรือที่พัฒนาขึ้นใหม่เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ทั้งคอมพิวเตอร์ติดตัว เครื่องชี้เป้าด้วยเลเซอร์ ระบบนำทางจีพีเอส จอภาพแอลซีดีหรืออุปกรณ์ใดๆก็ตามแม้แต่ไอพ็อดหรือไอโฟน เพื่อจะช่วยเพิ่มข้อมูลเพื่อตัดสินใจให้ทหาร ยิ่งรู้มากยิ่งตัดสินใจได้ปลอดภัยและมีโอกาสอยู่รอดสูง
ด้วยอุปกรณ์สื่อสารและไอทีต่างๆที่ทหารนำเข้าสนามรบ มันจะช่วยให้แต่ละนายทราบความเป็นไปในชุดของตนว่ามีเพื่อนรบได้อยู่กี่คน แต่ละคนมีกระสุนเหลือเท่าไร มีตำแหน่งวางตัวอยู่ที่ไหน หน่วยรบใกล้เคียงในระยะใกล้ที่สุดอยู่ห่างไปกี่เมตร(หรือกิโลเมตร) ทราบตำแหน่งข้าศึกรวมทั้งเห็นภาพได้จากอากาศยานไร้นักบินทั้งเล็กและใหญ่(เรฟเวน,พรีเดเตอร์) เรียกเครื่องบินหรือขีปนาวุธจากเรือมาถล่มเป้าหมายภาคพื้นดินได้โดยแค่กดปุ่มส่งค่าพิกัดจีพีเอส ติดต่อกับหน่วยเหนือได้โดยตรงพร้อมส่งภาพแบบเวลาจริง(real time)เหมือนที่ตนเห็นทางจอภาพติดหมวกเพื่อช่วยการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชา ติดต่อสื่อสารกับชนพื้นเมืองที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษด้วยข้อความหรือเสียงพูดประโยคสำคัญในภาษานั้น(เช่นสั่งให้หยุดยิง,ขอตรวจค้น,ขอบคุณ ฯลฯในภาษาถิ่น)และข้อมูลอื่นๆที่หน่วยรบภาคพื้นดินควรรู้
ในฤดูร้อนของปี2006กองทัพบกสหรัฐฯได้ประเมินผลโครงการแลนด์วอริเออร์อย่างละเอียด ที่ฟอร์ทลิวอิส รัฐวอชิงตัน ที่ถูกประเมินผลพร้อมกันคือระบบสำหรับพลประจำยานที่จะช่วยให้ทราบความเป็นไปทั้งหมดรอบตัวได้ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกยานรบ ทั้งหมดนี้ถูกดำเนินการระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกันยายนในปีนั้น โดยมีหนูทดลองคือกองพันที่4สังกัดกรมทหารราบที่9แห่งกองพลน้อยที่4”สไตรเกอร์” กองพลทหารราบที่2 เป็นการทดสอบระบบด้วยกองกำลังระดับกองพันเพื่อทราบข้อดีข้อเสียเมื่อใช้กองกำลังขนาดใหญ่กับระบบนี้ แทนที่จะเป็นชุดปฏิบัติการเล็กๆ
ผลสรุปจากการประเมินที่ปรากฎในปี2007 คือกองทัพบกให้โครงการนี้ผ่านแต่ต้องปรับปรุงให้คล่องตัวขึ้นด้วยอุปกรณ์ติดตัวทหารไปเท่าที่จำเป็น การบริโภคข้อมูลข่าวสารมากเกินความจำเป็นและมีอุปกรณ์ไอทีติดตัวจนรุงรังกลับจะเป็นผลร้ายมากกว่าดี เพราะในสภาพการรบอันกดดันทหารจะ”สำลัก”ข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องและมากเกินจนไม่สามารถจดจ่อกับภารกิจตรงหน้าได้ ในที่สุดแลนด์วอริเออร์ในส่วนที่ปรับปรุงแล้วให้คล่องตัวกว่าเดิม ก็ถูกนำมาใช้ในอิรักด้วยจำนวน440ชุดสำหรับทหารราบและ147ชุดติดยานรบ(รถลำเลียงพลล้อยาง”สไตรเกอร์”,รถสายพานลำเลียงพล”แบรดลีย์”,รถถังหลัก”เอบรัมส์”,”ฮัมวี”และยานยนต์อื่น) ผลดีคือลดความสูญเสียได้มากและไม่จำเป็นต้องใช้กองกำลังขนาดใหญ่เข้ากวาดล้าง ทำให้ต้องเพิ่มระบบแลนด์วอริเออร์ให้กับกองพันที่5ของกองพลเดียวกันอีกนับพันชุด
ด้วยระบบแลนด์วอริเออร์นี้เอง ที่ทำให้ทหารราบแต่ละนายถูกหลอมรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบNCOอย่างแท้จริง โดยแต่เดิมใช้กันมากในเครื่องบินขับไล่ซึ่งรบแบบเครือข่ายได้ทรงประสิทธิภาพสูงสุดเนื่องจากเคลื่อนที่เร็วและใช้เทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารเต็มที่ ตัวอย่างชัดเจนคือในเครื่องบินรบยุคปัจจุบันรวมทั้งJAS39”กริปเปน” ที่นักบินสามารถเลือกเป้าหมายได้ รู้เป้าของเพื่อนในฝูง คำนวณลำดับความสำคัญเพื่อเข้าต่อตี ทราบจำนวนอาวุธทั้งระเบิดและขีปนาวุธ เชื่อมต่อการสื่อสารได้ทั้งกับหน่วยรบภาคพื้นดินและในทะเลเพื่อร่วมกันทำลาย แลนด์วอริเออร์ทำให้ทหารราบธรรมดากลายสภาพเป็นส่วนหนึ่งของระบบเสมือนเครื่องบินขับไล่ตัวอย่าง
อีกระบบเพื่อช่วยให้ทหารหยั่งรู้สถานการณ์คือระบบTacticomp จากเซียราเนวาดา คอร์โปเรชั่น เป็นผลจากการพัฒนาระบบช่วยรบทหารราบเพื่อเพิ่มอัตราการอยู่รอด คล้ายคลึงกับแลนด์วอริเออร์ของเจเนอรัลไดนามิกและเคยผ่านสมรภูมิมาแล้ว จนได้รับความไว้วางใจจากกองทัพบกให้ใช้ในกองกำลังระดับกองพลน้อยถึง6หน่วย มันถูกส่งเข้าสู่สมรภูมิจริง ใช้งานจริงมาแล้วถึงสามครั้งในการรบหนักๆ และแต่ละครั้งลดความสูญเสียทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิตได้มากถึง70เปอร์เซ็นต์
แทคติคอมป์คือระบบรบแบบเครือข่ายที่ใช้ดาวเทียมเป็นหลัก ในเครือข่ายมีชื่อว่าTactinet ตามที่เซียราฯเจ้าของโครงการสรุปคือ”เป็นระบบช่วยรบติดตัวทหารอันประกอบด้วยคอมพิวเตอร์ เครื่องมือติดต่อสื่อสารด้วยดาวเทียมและระบบบอกพิกัดภูมิศาสตร์จีพีเอสไว้เป็นโมดูลเดียวกัน และชุดจะเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายสำหรับทหารราบ ทั้งชุดจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทหารเสมือนอวัยวะ ให้เลือกฟังและเลือกดูได้ง่าย สะดวก ด้วยจอภาพติดหมวกนิรภัยรวมทั้งจอแสดงผลติดแขนพร้อมคีย์บอร์ด เลือกให้แสดงภาพพื้นที่การรบเป็นลายเส้นหรือแผนที่ภูมิประเทศได้ ระบุฝ่ายด้วยสีโดยให้ฝ่ายเดียวกันเป็นสีน้ำเงินและข้าศึกเป็นสีแดง รายงานสถานการณ์หรือขอการสนับสนุนได้ทั้งด้วยเสียงและข้อความจากการพิมพ์คีย์บอร์ด ทหารสามารถรับภาพได้ทั้งจากอากาศยานไร้นักบินและจากดาวเทียม ติดต่อกับผู้บัญชาการหน่วยรบได้โดยตรงหรือจะพูดกับประธานาธิบดีด้วยก็ยังได้ถ้าต้องการ!”
เรื่องทั้งหมดนี้คือความพยายามหนึ่งของกองทัพบกสหรัฐฯ ที่จะพัฒนาไปสู่ความเป็น”กองทัพดิจิตอล”เต็มรูปแบบทั้งยุทโธปกรณ์และบุคลากร เป็นเรื่องไม่ยากเลยสำหรับกองทัพขนาดใหญ่ของประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแข็งแกร่งเช่นนั้น รวมทั้งบุคลากรก็พร้อม เพราะเด็กอเมริกันเติบโตขึ้นมาพร้อมกับเกมนินเทนโดและเครื่องเล่นเกมเพลย์สเตชั่น นักบินเครื่องบินรบหลายคนที่ฝึกกับเครื่องช่วยฝึก(simulator)ของเครื่องบินอย่างF-16 หรือเฮลิคอปเตอร์โจมตีAH-64”อะแพชี่”แล้ว พบว่ามันแทบไม่ต่างกันเลยกับเกมกดปุ่มที่บ้านทั้งภาพและเสียง
ระบบแลนด์วอริเออร์และแทคติคอมป์จึงเป็นเรื่องน่าสนใจ และหากกองทัพของเราสามารถพัฒนาขึ้นเองด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ได้ เหมือนหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิดหรือยุทโธปกรณ์อื่นๆที่คนไทยทำได้ด้วยราคาต่ำกว่าอย่างน่าใจหาย มันก็จะช่วยสงวนชีวิตอันมีค่าของกำลังพลไว้ได้มาก รวมทั้งยังช่วยให้กองทัพปรับขนาดให้เล็กลงแต่ประสิทธิภาพสูงกว่าเดิมได้ง่ายด้วย
เรื่องจะทำให้กองทัพเล็กลง โดยพัฒนาเทคโนโลยีมาช่วยทหารจะได้ประหยัดงบประมาณได้ในระยะยาวนั้นคิดกันบ้างหรือเปล่า? หรือว่าถนัดแต่จะตัดงบกันอย่างเดียว?