วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

“Silencer” เงียบสนิทหรือแค่ลดเสียง?


ในการรบราฆ่าฟันกันแต่นานมานั้น”ความได้เปรียบ”คือสิ่งที่คู่สงครามต่างแสวงหา การซ่อนพรางจึงถูกพัฒนาไม่หยุดหย่อนนับแต่เราเริ่มแบ่งฝ่ายแล้วหันหน้าเข้าสู้กัน และการ”พรางเสียง”ก็เป็นหนึ่งในความคิดที่เกิดขึ้นพร้อมกับปืนใช้กระสุนดินดำ ประสิทธิภาพของปืนนั้นก็โอเคอยู่แต่ทำยังไงจึงจะฆ่าได้เงียบ เพื่อฝ่ายตรงข้ามจะได้จับไม่ได้และจะได้ฆ่าต่อไปเรื่อยๆ แม้จะมีผู้คิคค้นอุปกรณ์สวมปากกระบอกปืนเพื่อลดเสียงหลายคนในช่วงต้นศตวรรษที่20 แต่คนที่ทำสำเร็จและเปิดตลาดยุทโธปกรณ์นี้ด้วยคือไฮแรม เพอร์ซี่ แม็กซิม บุตรชายของเซอร์ไฮแรม สตีเฟนส์ แม็กซิมบิดาแห่งปืนกลแม็กซิมอันลือลั่น และยังเป็นหลานของฮัดสัน แม็กซิมนักประดิษฐ์ผู้คิดค้นระเบิดอานุภาพสูงและกระสุนแบบต่างๆที่ใช้ในกองทัพ
เมื่อทั้งพ่อและปู่ทำมาหากินอยู่ในแวดวงอาวุธ จึงไม่แปลกที่แม็กซิมจะต้องคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกทำนองเดียวกัน เขาคือคนแรกที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าสร้างกระบอกเก็บเสียงสำเร็จและผลิตจำหน่ายด้วยในประมาณปีค.ศ.1902 ก่อนที่มันจะกลายเป็นอุปกรณ์ขาดไม่ได้ของทหารในหน่วยรบพิเศษยุคปัจจุบันในอีกร้อยปีต่อมา เพื่อให้รู้ว่าใครสร้างมันจึงถูกตั้งชื่อตามคนสร้างว่า”แม็กซิม ไซเลนเซอร์” ด้วยหลักการที่ไม่มากไปกว่าปลายท่อไอเสียเก็บเสียงของเครื่องยนต์สันดาปภายใน ในยุโรปสมัยเดียวกับเมื่อแม็กซิมยังมีชีวิตนั้นเรียกปลายท่อไอเสียแบบนี้ว่า”silencer”อยู่แล้วทั้งที่ไม่เกี่ยวกับปืนผาหน้าไม้ใดๆเลย และเพื่อไม่ให้มันไปซ้ำกับท่อไอเสียรถยนต์นี้เองกระบอกเก็บเสียงของปืนจึงถูกเรียกชื่อใหม่ว่า”suppressor” แต่พอนานไปก็เรียกปะปนกันไปหมดทั้ง”muffler,silencer,suppressor”ซึ่งมีความหมายเดียวกันในภาษาไทยว่า”กระบอกเก็บเสียง”
กระบอกเก็บเสียงคือท่อทรงกระบอกผิวเรียบสร้างจากเหล็กกล้าหรืออลูมินัม มีช่องว่างภายในและเชื่อมต่อกับลำกล้องปืนเล็กยาว,ปืนพก,ปืนกลมือ ถอดสับเปลี่ยนใช้กับปืนได้หลายกระบอกที่มีขนาดลำกล้องเท่ากัน(แต่ให้ประสิทธิภาพต่างกันตามความยาวลำกล้อง) อีกชนิดเป็นแบบเฉพาะที่ต่อปลายลำกล้องให้มีช่องว่างเพิ่มขึ้น ตัวลำกล้องถูกเจาะรูให้แก๊ซท้ายกระสุนไหลเข้าในช่องว่างนั้น เป็นส่วนของลำกล้องที่แยกกันไม่ออก หากจะทำความสะอาดกระบอกเก็บเสียงชนิดนี้ก็ต้องถอดชิ้นส่วนของปืน
ทั้งสองชนิดของกระบอกเก็บเสียงทำงานด้วยหลักการง่ายๆ คือยอมให้แก๊ซที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วจากท้ายกระสุนถูกกักอยู่ในกระบอกปลายลำกล้องและเย็นลง ผลคือแรงดันและความเร็วของกระสุนจะลดลงเช่นกันเมื่อพ้นปลายกระบอกเก็บเสียง โครงสร้างคือกระบอกเก็บเสียงจะถูกแบ่งเป็นช่องย่อยๆ4ถึง15ช่องให้กระสุนวิ่งผ่านตามยาว ช่องใหญ่ที่สุดคือช่องแรกติดปลายลำกล้องปืน ที่ให้ช่องใหญ่ที่สุดวางตัวใกล้ปากกระบอกก็เพื่อให้แก๊ซได้ขยายตัวในส่วนนี้มากที่สุด บริเวณนี้อาจขยายเนื้อที่หุ้มลำกล้องย้อนลงไปทางรังเพลิงก็ได้เพื่อให้ความยาวของปืนรวมกับตัวกระบอกไม่มากเกินไปจนเกะกะ
กระบอกเก็บเสียงถูกสร้างออกมาหลายรุ่นและแบบตามขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำกล้อง แบบใช้แล้วทิ้งที่ถูกคิดค้นขึ้นในทศวรรษ1980โดยกองทัพเรือสหรัฐฯสำหรับกระสุนปืนพกขนาด9ม.ม. ยาว150ม.ม.และเส้นผ่าศูนย์กลางด้านนอก45ม.ม. ยิงได้6นัดสำหรับกระสุนธรรมดาและ30นัดสำหรับกระสุนซับโซนิก(ความเร็วต่ำกว่าเสียง) ถ้ายิงมากกว่านี้แล้วคุณสมบัติด้านเก็บเสียงของมันจะด้อยลง ส่วนกระบอกเก็บเสียงของปืนเล็กยาวส่วนจะทำไว้สำหรับกระสุนขนาด.50 ความยาว509ม.ม.และเส้นผ่าศูนย์กลางด้านนอก76ม.ม. สำหรับหน่วยปฏิบัติการพิเศษเองที่ใช้อาวุธมาตรฐานยิงกระสุนขนาด5.56ม.ม. รวมทั้งหน่วยSWATที่ใช้ปืนกลมือส่วนใหญ่เป็นแบบMP5ของเฮคเลอร์อุนต์โค้ค(H&K : Heckler Und Koch)ขนาดกระสุน9ม.ม. ก็มีอุปกรณ์ดังกล่าวให้ปืนประเภทนี้ด้วย บริษัทSureFireที่ขึ้นชื่อด้านไฟฉายทางยุทธวิธีคือหนึ่งในผู้นำด้านกระบอกเก็บเสียงสำหรับปืนเล็กยาวมาตรฐาน
กระบอกเก็บเสียงทำงานด้วยหลักการดังกล่าวไปแล้ว คือกักแก๊ซไว้ในช่องที่ถูกแบ่งไว้เป็นช่วงๆตังแต่4ช่วงหรือมากกว่านั้นตามยาว ช่องว่างในช่วงต่างๆถูกกั้นไว้ด้วยผนังเป็นวงแหวนใหญ่กว่าหัวกระสุนประมาณ0.04ม.ม.พอให้มันพุ่งผ่านได้ ตามปกติวงแหวนแบ่งช่วง(baffle)ภายในจะเป็นโลหะชนิดเดียวกับตัวกระบอกเอง แต่ก็มีบางแบบจากผู้ผลิตเช่นVaimeที่สร้างวงแหวนด้วยพลาสติก ไม่ว่าจะเป็นวัสดุชนิดใดวงแหวนนี้จะถูกคั่นไว้ด้วยแหวนกั้น(spacer)คั่นช่วงตั้งฉากกับตัวมันเพื่อแบ่งช่วงในกระบอกให้เท่ากัน
วงแหวนแบ่งช่วงในปัจจุบันนี้ถูกออกแบบให้แตกต่างกันไปตามความคิดของผู้ผลิต ที่พยายามคิดค้นรูปแบบที่จะเก็บเสียงได้เงียบที่สุด ใช้งานทนทานที่สุด ถ้าใครคิดว่ากระบอกเก็บเสียงจะมีอายุยืนคู่กับปืนนั่นคือความคิดที่ผิด เพราะอุปกรณ์ชนิดนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้ได้ระยะหนึ่งแล้วทิ้ง เนื่องจากความร้อนและแรงอัดระหว่างกระสุนพุ่งผ่านจะทำลายคุณสมบัติของวัสดุลงไปเรื่อยๆ ยิ่งถ้าใช้ยิงบ่อยๆหรือยิงเร็วๆเช่นกับปืนเล็กยาวจู่โจมอัตโนมัติคุณภาพของมันจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่พัฒนาไม่หยุดยั้งและรวดเร็ว กระบอกเก็บเสียงบางแบรนด์ก็ถูกสร้างให้มีอายุยืนยาวน่าทึ่ง ทนทานต่อกระสุนปืนเล็กยาวได้30,000นัดก่อนหมดสภาพ
นอกจากกระบอกเก็บเสียงแบบ”แห้ง”ยังมีแบบ”เปียก”ด้วย ซึ่งหลักการคือสร้างตัวกระบอกเก็บเสียงด้วยโลหะแล้วภายในแล้วใช้ของเหลวอย่างน้ำเปล่า น้ำมัน,จาระบีหรือเจลเป็นตัวดูดซึมแก๊ซ ยิงได้ไม่กี่นัดก็ต้องเติมของเหลวใหม่ซึ่งทำได้ทั้งการเอากระบอกเก็บเสียงจุ่มน้ำหรือถอดมาปัสสาวะผ่าน ด้วยคุณสมบัติของของเหลวอันทึบและหนาแน่นกว่าอากาศมากนี้เองที่ช่วยให้เก็บเสียงได้เงียบกว่าแบบแห้ง น้ำคือตัวเก็บเสียงดีที่สุดเพราะสามารถดูดซับความร้อนได้สูงแต่ข้อเสียคือระเหยได้เร็วมาก จาระบีนั้นแม้จะเปื้อนได้ง่ายกว่าและด้อยประสิทธิภาพกว่าน้ำเปล่า ก็ยังคงตัวอยู่ในกระบอกได้นานกว่าแบบแทบไม่ต้องดูแลกันเลย
น้ำมันคือตัวดูดซึมเสียงคุณภาพต่ำที่สุดและไม่นิยมใช้บรรจุในกระบอก นอกจากจะเปื้อนมือไม้ได้ง่ายเหมือนจาระบีแล้วยังฟุ้งกระจายเป็นฝอยเข้าหูเข้าตาได้ง่ายกว่า ทิ้งหลักฐานไว้เพียบหลังยิงไปแต่ละนัด ระหว่างจาระบีกับน้ำมันคือเจลน้ำ(ประมาณเค-วายเจลลี่ที่พบตามร้านขายยาทั่วไป) ที่ให้สมรรถนะในการเก็บเสียงอยู่ตรงกลาง มันเก็บเสียงได้ดีเท่าจาระบีแต่ไม่ฟุ้งกระจายเหมือนน้ำมัน ข้อเสียคือบรรจุลงกระบอกยากต้องใช้เวลานานและต้องระวังเสมอไม่ให้ไหลย้อนเข้าลำกล้องปืนเพราะเหลวกว่าจาระบี
ตามปกติแล้วปืนพกเท่านั้นที่ใช้กระบอกเก็บเสียงแบบเปียก มันเหมาะเพราะแรงดันกระสุนและความร้อนไม่มากเท่าปืนเล็กยาว ด้วยคุณสมบัติที่ดีของของเหลวในการเก็บเสียงจึงทนกระสุนได้มากนัดกว่า ในขณะที่ไม่เหมาะกับปืนเล็กยาวเพราะด้วยแรงดันมหาศาลและความร้อน ของเหลวจะระเหยหรือเสื่อมสภาพได้ง่ายและเร็วหลังจากยิงไป2-3นัดเท่านั้น
กระบอกเก็บเสียงถูกพัฒนาไปไกลขึ้นในปัจจุบัน นอกจากการชลอการปล่อยความดันหรือลดความดันจากปากกระบอกแล้ว หลักการที่ถูกนำมาใช้คือการเปลี่ยนแปลงคลื่นเสียงอันเกิดขึ้นปลายลำกล้อง หลักการเปลี่ยนแปลงความถี่(phase cancellation)ช่วยให้กระบอกทำงานได้เงียบเชียบกว่าเดิม ด้วยการแยกช่องทางไหลเวียนของแก๊ซแล้วบังคับทิศทางให้มันปะทะกันเอง ผลคือได้เสียงในระดับอัลตราซาวนด์(ความถี่มากกว่า20กิโลเฮิร์ทส์)ที่หูมนุษย์ไม่ได้ยิน การเปลี่ยนแปลงความถี่เกิดขึ้นเมื่อคลื่นเสียงปริมาณเท่ากันมาปะทะกันเองด้วยมุม180องศา คลื่นเสียงที่ปะทะกันเองจะลดความกว้างของคลื่นรวมทั้งกำจัดความดันอันเกิดจากเสียงนั้นด้วย
ไม่ว่ากระบอกเก็บเสียงจะใช้หลักการอย่างใดในการสร้าง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุดคือแรงดันปากลำกล้องที่ความเร็วของคลื่นเสียงคือตัวแปรสำคัญ แรงดันนี้เปลี่ยนแปลงได้แตกต่างกันมากตามชนิดของกระสุนและความยาวของลำกล้อง จะให้เก็บเสียงได้เงียบที่สุดตัวกระบอกต้องออกแบบให้เข้ากับทั้งตัวกระสุนและลำกล้องปืน ใช่ว่ากระบอกเดียวจะใช้ได้ทั้งกับปืนพกและปืนเล็กยาวโดยไม่เลือกขนาดกระสุน
ประสิทธิภาพของกระบอกเก็บเสียงถูกเน้นให้ดีเกินจริงในภาพยนตร์หลายๆเรื่อง ตัวละครใช้ปืนเก็บเสียงยิงดังแค่”ฟึ้บๆๆ”และเบาแทบไม่ได้ยิน แต่ในความเป็นจริงจากการทดสอบวัดระดับความดังเป็นเดซิเบล พบว่ามันไม่ได้เงียบอย่างที่เข้าใจ กระบอกส่วนใหญ่ลดเสียงได้ไม่มาก เหลือแค่130ถึง145เดซิเบลเท่านั้นโดยเฉลี่ยซึ่งยังดังกว่าเสียงไซเรนรถพยาบาลหรือเสียงจากร็อคคอนเสิร์ตซึ่งดังอยู่ระหว่าง100-140เดซิเบล ต้องใช้ในสภาพที่เป็นใจด้วยจึงจะกลบเกลื่อนได้สนิทเช่นย่านที่มีเสียงดังอยู่แล้ว ต้องมีระยะยิงไกลพอสมควรที่จะไม่เปิดเผยที่ตั้งและอื่นๆอันต้องเกิดจากการฝึกฝนเพื่อใช้ปืนติดอุปกรณ์นี้โดยเฉพาะ
แม้กระบอกเก็บเสียงจะดูเหมือนสร้างกันง่ายๆ แต่การจะสร้างให้ทนและปลอดภัยกับผู้ใช้งานนั้นไม่ง่ายเลย ต้องใช้โลหะทนทั้งความร้อนและความดันมหาศาล จะทำเองด้วยการใช้ขวดโค้กพลาสติกติดปากลำกล้องแล้วยิงด้วยกระสุนมาตรฐานเหมือนในภาพยนตร์ยิ่งเป็นไปไม่ได้ แรงดันปากลำกล้องจะระเบิดขวดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในพริบตาและไม่ได้เก็บเสียงเลยแม้แต่น้อย
ยุทธภัณฑ์ชนิดนี้คือเทคโนโลยีที่มีต้นกำเนิดจากกิจการกรรมของพลเรือนแท้ๆ ที่ต้องการลดเสียงดังหนวกหูของเครื่องยนต์ให้ค่อยลงในระดับที่พอ(ทน)ฟังได้ กระนั้นพลเรือนอย่างคุณหรือใครๆก็ไม่สามารถครอบครองได้เพราะผิดกฎหมาย และไม่ควรทำเล่นเองที่บ้านเด็ดขาด

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

ใช้หุ่นยนต์รบ ปลอดภัยกว่า


ท่ามกลางความขัดแย้งในหมู่มนุษยชาติที่เกิดมาเนิ่นนาน ไม่ว่าจะใช้ยุทโธปกรณ์และยุทธวิธีอย่างไร จุดมุ่งหมายหลักของผู้เข้าสู้รบคือทำลายคู่ต่อสู้ให้ได้ในขณะที่ตัวเองยังคงความอยู่รอด ในยุคหินเราใช้หนังสัตว์หนาๆป้องกันตัว พอมาถึงยุคเหล็กเราสร้างเกราะและโล่เพื่อป้องกันคมหอกดาบ และยังใช้เกราะป้องกันตัวจนถึงปัจจุบันเพียงแต่เปลี่ยนจากเหล็กหนักอึ้ง มาเป็นแผ่นเคฟลาร์บางเบาและเซรามิกเพื่อป้องกันกระสุนปืนเล็กและสะเก็ดระเบิด เทคโนโลยีสงครามที่พัฒนาไปพร้อมวิทยาการสาขาอื่นทำให้เรารบกันด้วยอาวุธร้ายแรง จากระยะไกลและซับซ้อนกว่าเดิม เมื่อมนุษย์อยู่ห่างกันมากกว่าเดิมเพราะอานุภาพของอาวุธมาเป็นอุปสรรค การทำลายล้างและดำเนินกิจกรรมเสี่ยงต่างๆจึงต้องใช้เครื่องมือที่สั่งได้ รู้จักกันทั่วไปในนาม”หุ่นยนต์”(robot)
แนวคิดเรื่องใช้หุ่นยนต์ทำสงครามที่เคยเป็นแต่นิยายในอดีตไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป เมื่อเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และระบบบอกตำแหน่งภูมิศาสตร์พัฒนามาถึงขั้นไว้ใจได้ โดยเฉพาะกิจการทางทหารซึ่งแยกไม่ออกจากอุปกรณ์ทั้งสองชนิดดังกล่าว แต่ก่อนจะมาเป็นหุ่นยนต์ที่ทหารโปรแกรมคำสั่งได้นี้เรื่องราวของมันได้เริ่มขึ้นมานานแล้วเมื่อ60กว่าปีก่อน เมื่อเยอรมันกำลังเพลี่ยงพล้ำในแนวรบทุกด้านตอนปลายสงครามโลกครั้งที่2 “โกไลแอธ”(Goliath)คือหุ่นยนต์ทหารรุ่นบุกเบิกจากมันสมองของนักวิทยาศาสตร์นาซี ด้วยรูปลักษณ์แตกต่างจากหุ่นยนต์ในนิยายวิทยาศาสตร์ชิ้นเชิง มันเป็นระเบิดติดสายพานต่อสายเคเบิลไปยังทหารหลังบังเกอร์ ซึ่งจะคอยบังคับทิศทางให้”ระเบิดคลาน”เคลื่อนที่ไปยังเป้าหมายแล้วค่อยกดระเบิดทำลายเมื่อถึง
แต่โกไลแอธไม่เวิร์คเพราะแทรกแซงการควบคุมได้ง่าย เพียงยิงให้ระเบิดก่อนถึงเป้าหรือส่งใครสักคนคลานไปตัดสายเคเบิลบังคับ เจ้าระเบิดคลานก็กลายเป็นระเบิดง่อยไปทันที เยอรมันใช้โกไลแอธรบช่วงปลายสงครามได้ผลแบบลุ่มๆดอนๆ ทั้งตอนปราบปรามชาวยิวลุกฮือในกรุงวอร์ซอว์และขัดขวางการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี ผลงานของมันไม่เข้าตากรรมการเพราะถูกทำลายก่อนถึงเป้าหมายเกือบหมด แต่นั่นไม่ใช่ข้อจำกัดที่ทำให้กองทัพยุคต่อมาเลิกคิดถึงหุ่นยนต์รบ
โลกในยุคเสี่ยงต่อการทำสงครามยุคนิวเคลียร์-เคมี-ชีวภาพทำให้มนุษย์คิดถึงการส่ง”ตัวแทน”เข้าสู่สมรภูมิมากยิ่งขึ้น คุณสมบัติคือต้องรบได้ในสภาพสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ อานุภาพร้ายแรง นำทางตัวเองเข้าหาเป้าหมายและกลับมายังที่ตั้งได้ เมื่อเป็นหุ่นยนต์รบก็ต้องรบและสอดแนมได้ตามคำสั่ง ขัดกันสิ้นเชิงกับแนวความคิดหุ่นยนต์เพื่อรับใช้มนุษย์ของไอแซค อาซิมอฟที่วางกฎเกณฑ์ไว้ว่า 1.ต้องไม่ทำร้ายมนุษย์ 2.ต้องเชื่อฟังคำสั่งเว้นแต่คำสั่งนั้นจะขัดกับกฎข้อแรก และ3.หุ่นยนต์ปกป้องตนเองได้ตราบใดที่การกระทำนั้นไม่ขัดต่อกฎข้อที่1และ2 เพราะนอกจากจะช่วยเหลือมนุษย์ทั้งด้านการหาข่าวและกู้ภัย เมื่อหุ่นยนต์รบต้องทำลายเป้าหมายทั้งที่เป็นสิ่งปลูกสร้างหรือมนุษย์ได้ด้วยเมื่อจำเป็น การใช้งานในปัจจุบันจึงเน้นที่การหาข่าวและทำลายเป็นหลัก
ปัจจุบันกองทัพทั่วโลกใช้หุ่นยนต์มากมายหลายรูปแบบ เพื่อทำหน้าที่แทนทหารในภารกิจที่สิ้นเปลือง น่าเบื่อหน่ายและต้องติดตามเฝ้าดูใกล้ชิดตลอดเวลา หุ่นยนต์รบที่เป็นข่าวบ่อยที่สุดคือหุ่นยนต์ติดปีกในรูปUAV(Unmanned Aerial Vehicle อากาศยานไร้นักบิน) โดยเฉพาะ”พรีเดเตอร์”(Predator drone)เป็นUAVขนาดใหญ่พอๆกับเครื่องบินขับไล่ ทำได้ทั้งสอดแนมหาข่าวและทำลายเป้าหมายด้วยอาวุธปล่อย สมาชิกชั้นนำของอัล-ไคดาในอาฟกานิสถานหลายคนสิ้นชื่อไปแล้วจากจรวดเฮลไฟร์จากใต้ปีกของมัน ด้วยขีดความสามารถคือบินได้สูงเกินสายตาเห็น ติดกล้องกำลังขยายสูงเห็นภาพเป้าหมายภาคพื้นดินได้ชัด บินได้นานเป็นวันๆโดยไม่เหนื่อยในขณะที่เครื่องบินใช้นักบินใช้เวลาน้อยกว่าแต่เผาผลาญเชื้อเพลิงมหาศาล ติดอาวุธทำลายได้เหมือนเครื่องบินจริงทุกอย่าง ต่างกันตรงที่นักบินไม่ต้องเสี่ยงชีวิตและผลัดเปลี่ยนกันมาบินได้ตลอดเวลาโดยล้อเครื่องไม่แตะพื้น ขณะพรีเดเตอร์กำลังบินค้นหาเป้าหมายในอิรักและอาฟกานิสถาน นักบินของมันกลับนั่งดูจอภาพโยกคันบังคับอยู่ในหน่วยบัญชาการกลาง(Central Command)ที่เมืองแทมปา รัฐฟลอริดา
นอกจากUAVขนาดมาตรฐานอย่างพรีเดเตอร์เพื่อภารกิจทางยุทธศาสตร์ กองทัพสหรัฐยังใช้UAVขนาดเล็ก(Small UAV : SUAV)เช่น”เรฟเวน”(Raven)ด้วยในภารกิจทางยุทธวิธีเช่นการสำรวจเส้นทางก่อนเคลื่อนขบวนยานยนต์ พิสูจน์ทราบพฤติกรรมอันไม่น่าไว้วางใจเช่นการวางระเบิดหรือวางกำลังซุ่มโจมตี
นอกจากหุ่นยนต์บินอย่างUAV หุ่นยนต์คลานรูปร่างคล้ายโกไลแอธของนาซีเยอรมันก็ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานทางบก ปฏิบัติการกิจได้ทั้งพิสูจน์ทราบวัตถุระเบิดและทำลายเป้าหมาย “เทลอน”(Talon)คือหุ่นยนต์ทหารราบจากบริษัทฟอสเตอร์-มิลเลอร์ของสหรัฐ ถูกสร้างมาเพื่อภารกิจสอดแนมไปจนถึงทำลายเป้าหมาย มันเหมือนรถถังย่อส่วนมากกว่าหุ่นยนต์รบในจินตนาการ ด้วยสายพานที่ช่วยให้ตะลุยได้ทุกพื้นที่ ไม่เคยเกี่ยงไม่ว่าภูมิประเทศจะเป็นดิน ทราย โคลน หรือหิมะ(ลึกสุด100ฟุต) ให้ไต่บันไดด้วยก็ยังได้
ด้วยกล้องติดตัวและขนาดไม่ใหญ่เทอะทะ มันสามารถสอดแนมได้ในที่จำกัด ส่งภาพชัดเจนมายังผู้ควบคุมที่อยู่ห่างออกไปได้ไกลสุดถึง1ก.ม. ทั้งภาพขาวดำ อินฟราเรด ภาพจากรังสีความร้อน(เทอร์มอล)และภาพกลางคืน(night vision)ที่ตาเปล่ามองไม่เห็นหากไม่ใช้ไฟส่อง ทำงานด้วยแบตเตอรี่ลิเธียม-อิออนจึงเงียบจนไม่เป็นที่สงสัยและอยู่ในพื้นที่ได้นานถึง7ชั่วโมงก่อนจะรีชาร์จ เจ้าเทลอนนี่แหละที่เข้าไปเก็บกู้ซากและค้นหาผู้รอดชีวิตหลังเหตุการณ์อาคารเวิลด์เทรดเซนเตอร์ถล่มเมื่อ11กันยายน 2001 ที่ตรงนั้นมันทำงานต่อเนื่อง45วันโดยไม่หยุดและระบบอีเลคทรอนิคไม่ขัดข้องแม้แต่ครั้งเดียว
เทลอนมีน้ำหนักไม่ถึง45ก.ก.ด้วยซ้ำ ประมาณ27ก.ก.ในแบบลาดตระเวนสอดแนมและมากขึ้นอีกเล็กน้อยถ้าติดอาวุธเข้าไปด้วยเพื่อภารกิจลาดตระเวนรบ มันแตกรุ่นไปมากมายโดยยังใช้ช่วงล่างเดิม จากรุ่นปกติ(IED/EOD)เพื่อใช้ค้นหาและกู้ระเบิดแสวงเครื่อง ติดตั้งเครื่องตรวจจับและทำลายวัตถุระเบิด แตกออกไปเป็นรุ่นปฏิบัติการพิเศษ(Special Operation : SOTAL) ไม่มีแขนกลเพื่อจัดการกับวัตถุแต่ติดตั้งกล้องวิดีโอภาพสีใช้งานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน/ในที่มืด มีไมโครโฟนความไวสูงเพื่อดักฟัง น้ำหนักค่อนข้างเบาเพราะไม่ติดปืนกลแต่ใช้เพียงเพื่อลาดตระเวนหาข่าว
สำหรับเหล่าราบ เทลอนรุ่น”ซอร์ด”(SWORD)คือตัวแทนของหุ่นยนต์ทหารราบในอนาคต เป็นรุ่นติดอาวุธเพื่อเข้าสู้รบของเทลอนที่บริษัทฟอสเตอร์-มิลเลอร์ผลิตเพื่อกองทัพบกโดยเฉพาะ ด้วยช่วงล่างมาตรฐานของเทลอนเป็นหลักมันถูกใช้ติดตั้งอาวุธร้ายแรงได้หลากหลาย เช่นปืนเล็กยาวตระกูลM16,ปืนกลประจำหมู่M249,M240ไปจนถึงปืนกลหนักยอดนิยมขนาดคาลิเบอร์.50 ติดปืนซุ่มยิงขนาดหนักM82 Barrettก็ได้เพื่อภารกิจซุ่มยิงทำลายยานเกราะเบา,ยุทโธปกรณ์และสังหารบุคคล ในรุ่นใช้ทำลายเป้าหมายขนาดใหญ่หรืออยู่ในที่มั่นดัดแปลง “ซอร์ด”จะถูกติดตั้งด้วยเครื่องยิงลูกระเบิด6ลำกล้อง หรือเครื่องยิงจรวดระเบิดเพลิง4ลำกล้องM202A1”FLASH”
ถึงจะไม่ได้ทำงานเป็นอิสระ คิดเองไม่ได้แต่ก็ให้ความมั่นใจได้มากต่อผู้บังคับเครื่องซึ่งจะสั่งให้เคลื่อนที่และทำลายเป้าหมายได้จากระยะไกล เมื่อควบคุมด้วยคันโยกแบบเดียวกับเครื่องเล่นเกม”เกมบอย”(Game Boy)ประกอบแว่นแสดงผลเสมือนจริง หุ่นยนต์”ซอร์ด”จำนวน3ตัวเข้าประจำการในอิรักปีที่แล้ว แต่ละตัวติดปืนกลM249เป็นอาวุธมาตรฐาน ยังควบคุมระยะไกลด้วยทหารผ่านทางกล้องและเครื่องส่งสัญญาณติดตัวหุ่นยนต์ มันสร้างประวัตศาสตร์ด้วยการเป็นหุ่นยนต์แบบแรกที่ถืออาวุธเข้าสนามรบ แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบที่กองทัพบกสหรัฐไม่ให้ทุนสนับสนุนโครงการ”ซอร์ด”ต่อหลังจากการประจำการของมันทั้ง3เครื่อง ทำให้ฟอสเตอร์-มิลเลอร์ต้องหันไปพัฒนาระบบหุ่นยนต์รุ่นต่อมาคือ Modular Advanced Armed Robotic System : MAARSแทน ซึ่งกำลังจะเผยโฉมในอนาคตอันใกล้เพื่อนำไปสู่การใช้หุ่นยนต์ต่อสู้เป็นอิสระเต็มรูปแบบ
เท่าที่ยกตัวอย่างมาทั้งระบบUAVเช่นพรีเดเตอร์ และหุ่นยนต์รบคือเทลอน คือสิ่งที่แสดงให้เห็นแนวโน้มการทำสงครามในอนาคตโดยเฉพาะสงครามในเมือง ซึ่งทหารต้องพร้อมรับสถานการณ์ทั้ง360องศารอบตัว ภัยคุกคามไม่จำกัดทิศทางทำให้ต้องพึ่งพาเครื่องทุ่นแรงมากขึ้น แม้ในปัจจุบันหุ่นยนต์เหล่านี้ยังใช้มนุษย์ควบคุมจากระยะไกลแต่มันก็ถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ใช้ซอฟต์แวร์ซับซ้อนที่แยกออกว่าเป้าหมายใดคือมนุษย์หรือสิ่งปลูกสร้าง ในอนาคตอันใกล้เราอาจได้เห็นหุ่นยนต์รบที่เลือกยิงเป้าหมายถือปืนศัตรูเช่นAK47(อาก้า)หรือปืนแบบอื่นตามที่ถูกโปรแกรมไว้
ด้วยพัฒนาการอันรวดเร็วของหุ่นยนต์ตามเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ เราได้เห็นหุ่นยนต์”อาซิโมะ”(Azimo)จากบริษัทฮอนด้าที่เดิน2ขาเหมือนคน มันเตะฟุตบอล ขึ้น/ลงบันไดและหยิบของได้เหมือนคน คงไม่ยากถ้าต่อไปจะสร้างโปรแกรมให้มันคิดเองได้ และส่งเข้าสู่สนามรบพร้อมอาวุธร้ายแรงด้วยความมั่นใจว่าจะไม่สังหารฝ่ายเดียวกัน มันจะไม่หลงทาง ไม่ต้องพักผ่อน เมื่อเสียก็ซ่อมแซมตัวเองได้ ปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่โต้แย้ง ไม่ต้องเสียเวลาฝึกเพราะซอฟต์แวร์กำหนดหน้าที่และการปฏิบัติต่างๆไว้พร้อมแล้วในตัว
ไม่ว่าหุ่นยนต์จะแพงแค่ไหนแต่ยังคุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตมนุษย์ เมื่อพังเสียหายก็ไม่มีใครเสียใจเพียงแต่หามาเปลี่ยนใหม่หรือซ่อม ต่างกับคนซึ่งต้องรับผิดชอบคนในครอบครัว เมื่อตายหรือพิการก็จะทำให้คนที่เหลือพลอยเดือดร้อนเพราะขาดกำลังสำคัญของหัวหน้าครอบครัว นับว่าน่ายินดีในระดับหนึ่งที่หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดของตำรวจและทหารไทยได้พยายามนำหุ่นยนต์มาใช้ ทั้งที่นำเข้าและพัฒนาในประเทศโดยร่วมมือกับสถานศึกษาและบริษัทเอกชน ทำให้หุ่นยนต์ที่สร้างเองราคาต่ำกว่านำเข้าและรัฐควรสนับสนุน ถึงปัจจุบันจะเคลื่อนที่ด้วยสายพานมีแค่ปืนยิงน้ำทำลายวัตถุระเบิด และควบคุมจากระยะตาเห็นเพียง100กว่าเมตร แต่ในอนาคตเราคงได้เห็น”หุ่นยนต์ไทยทำ”ติดกล้องวิดีโอและควบคุมจากระยะไกลขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องไปไกลขนาดให้รบแทนทหารเต็มรูปแบบเหมือนของสหรัฐฯ เอาแค่รักษาชีวิตเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเสี่ยงไว้ได้ก็ดีเหลือเกินแล้ว
จากพัฒนาการอันรวดเร็วของเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ทำให้มันถูกใช้งานแทนมนุษย์อย่างแพร่หลายทั้งในอุตสาหกรรม อวกาศ และในสนามรบ ถือว่าเป็นนวัตกรรมสงครามอีกชนิดที่เกิดขึ้นเพื่อสงวนชีวิตมนุษย์ซึ่งจะถูกพัฒนาอย่างรวดเร็วในอนาคต