วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

"เรือบรรทุกเครื่องบิน" ป้อมปราการลอยน้ำ


ในโลกปัจจุบันหากจะตั้งคำถามกันว่า"อะไรคือสัญลักษณ์แห่งแสนยานุภาพทางทหารที่ชัดเจนที่สุด" เชื่อว่าคงมีคำตอบได้หลากหลายตั้งแต่เครื่องบินรบไฮ-เทค,จำนวนหัวรบนิวเคลียร์ไปจนถึงอัตรากำลังของประเทศต่างๆ ที่กล่าวมาอาจจะบอกได้จริงถึงความเข้มแข็งที่คนนอกกองทัพอาจต้องใช้เวลาคิด แต่ที่ชัดจริงๆและสำนึกได้ถึงความเข้มแข็งเบื้องหลังยุทโธปกรณ์ชิ้นนั้นก็คือ"เรือบรรทุกเครื่องบิน" หนึ่งในกำลังทางเรือของชาติมหาอำนาจที่เคลื่อนไหวเมื่อใดก็เป็นข่าวเมื่อนั้น ลำพังหน่วยรบภาคพื้นดินเข้าไปหย่าศึก,รักษาสันติภาพหรือแม้แต่เข้าสู้รบโดยตรงโลกก็ยังไม่หวั่นไหว แต่เมื่อใดที่กองเรือบรรทุกเครื่องบินเต็มอัตราเคลื่อนเข้าไปในน่านน้ำของชาติใดชาติหนึ่ง เมื่อนั้นคือการแสดงให้เห็นว่าสงครามใหญ่พร้อมจะเกิดได้ทุกเมื่อ

คำว่า"เรือบรรทุกเครื่องบิน"หรือ"aircraft carrier”ตรงตัวในภาษาอังกฤษ มีความหมายว่าเป็นเรือรบที่มีภารกิจหลักคือเป็นฐานให้เครื่องบินใช้ปฏิบัติภารกิจกลางทะเล ด้วยจุดมุ่งหมายคือให้กองทัพเรือนำกำลังทางอากาศไปปฏิบัติภารกิจได้ไกลโดยไม่ต้องพึ่งพาการส่งกำลังบำรุงในท้องถิ่นใกล้เคียง

พูดให้ง่ายเข้าก็คือเป็นฐานบินเคลื่อนที่อิสระที่จะขยายระยะบินของเครื่องบินรบเวลาจะทำสงครามใหญ่นั่นเอง เพราะหากจะให้เครื่องบินขึ้นบินจากประเทศแม่ไปยังพื้นที่สู้รบกันโดยตรงแล้วจะเสียเวลาและค่าใช้จ่ายสูงกว่า อีกทั้งมีอันตรายต้องเผชิญร้อยแปดระหว่างเดินทาง เรือบรรทุกเครื่องบินปัจจุบันมีต้นกำเนิดมานานเกือบร้อยปีแล้วโดยเริ่มจากบอลลูนยนต์หรือเรือเหาะที่ห้อยเครื่องบินรบปีกสองชั้น(หรือสาม)ไว้แล้วบินเข้าใกล้แนวข้าศึก ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นเรือสินค้าดัดแปลงดาดฟ้าเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินในสงครามโลกครั้งที่1 เรือบรรทุกเครื่องบินดาดฟ้าไม้สักในสงครามโลกครั้งที่2 และที่ทันสมัยที่สุดคือเรือบรรทุกเครื่องบินพลังนิวเคลียร์ยุคปัจจุบัน

นับแต่เครื่องบินลำแรกขึ้นบินเมื่อปี1903 สิ่งที่วิศวกรอากาศยานและนักการทหารคิดเท่าที่เทคโนโลยีสมัยนั้นจะอำนวย ก็คือการขยายระยะบินของเครื่องบินรบที่ในช่วงเริ่มแรกยังเป็นแบบเครื่องยนต์เดียวปีกสองชั้น ง่ายที่สุดคือห้อยไปกับบอลลูนหรือเรือเหาะในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่1ต่อมาจึงกลายเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินเครื่องจักรไอน้ำตอนกลางสงคราม หลังจากแก้ปัญหาเรื่องการลงของเครื่องบินบนดาดฟ้าแคบและสั้นได้ด้วยลวดสลิงขวางทางวิ่ง เครื่องดีดส่งด้วยพลังไอน้ำแบบเรือรุ่นปัจจุบันยังไม่จำเป็นเพราะเครื่องบินส่วนใหญ่น้ำหนักเบา สร้างด้วยวัสดุง่ายๆคือไม้และผ้าบุ เพียงแค่หันหัวเรือหากระแสลมพัดเข้าถึงจะจอดกับที่เฉยๆเครื่องบินก็แทบยกตัวขึ้นแล้ว

แต่เรือบรรทุกเครื่องบินก็ยังไม่มีความสำคัญทางยุทธการมากนักในสงครามโลกครั้งนั้น เมื่อเครื่องบินยังไม่สามารถบรรทุกระเบิดอำนาจการทำลายล้างสูงทีละมากๆมาจอดบนดาดฟ้าแล้วบินขึ้นอย่างปลอดภัยได้ ด้วยสงครามที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ในแผ่นดินใหญ่ของยุโรปเรือบรรทุกเครื่องบินจึงยังเป็นแค่ยุทโธปกรณ์"ไฮ-โซ"ที่ยังต้องพัฒนาอีกยาวไกล มีแต่เครื่องบินทะเลส่วนใหญ่ที่ประจำเรือรบชนิดนี้ด้วยวัตถุประสงค์คือแค่ตรวจการณ์หรือถ่ายภาพที่ตั้งทางทหาร

เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในช่วงต่อระหว่างสงครามโลกครั้งที่1และ2 นักยุทธศาสตร์ก็เห็นความสำคัญของมันมากขึ้น เครื่องบินมีเครื่องยนต์แรงขึ้นประกอบกับโครงสร้างของมันแข็งแกร่งพอจะรับน้ำหนักได้มาก มีเครื่องบินรบหลายแบบที่หุ้มเกราะห้องนักบิน มีเครื่องบินดำดิ่งทิ้งระเบิดเด่นๆเกิดขึ้นทั้งฝ่ายเยอรมันและอเมริกัน เยอรมันมีJU87”ชตูก้า"ที่จดจำรูปแบบมาจากเคอร์ติสSB2C”เฮลไดฟ์เวอร์"ของอเมริกัน แต่เรือบรรทุกเครื่องบิน"กราฟ เซ็ปเปลิน"ของเยอรมันกลับไปไม่ถึงไหน ในขณะที่เรือบรรทุกเครื่องบินฝ่ายอเมริกันถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จากภัยคุกคามที่เล็งเห็นว่าอาจจะพบได้จากญี่ปุ่นที่กำลังต้องการวัตถุดิบมาพัฒนาอุตสาหกรรมของตนที่กำลังขยายตัว จนต้องรุกล้ำเข้ายึดดินแดนบางส่วนของจีน การมีเขตอิทธิพลส่วนใหญ่อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกของสหรัฐฯและพันธมิตร ตั้งแต่ฟิลิปปินส์ลงมาถึงนิวกินีและอินโดนิเซียและอินโดจีนทั้งหมด ทำให้สหรัฐฯคือชาติแรกๆที่ก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับญี่ปุ่นด้านการสร้างเรือบรรทุกเครื่องบิน

การขยายอำนาจด้วยกองทัพเรือคือเครื่องบ่งบอกชัดเจนถึงเมฆหมอกแห่งสงคราม โดยเฉพาะในด้านเรือบรรทุกเครื่องบินที่เหมือนจะเกทับกันระหว่างสหรัฐฯกับญี่ปุ่น เมื่ออเมริกาสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินได้ยาวกว่า ญี่ปุ่นก็แก้ทางด้วยการสร้างให้ใหญ่กว่า เทคโนโลยีของญี่ปุ่นก้าวล้ำในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่2ด้วยเรือบรรทุกเครื่องบินชั้นดีมากมาย เช่นเรือโชกากุ,ซุยกากุ,โซริว,ฮิริวฯลฯควบคู่่ไปกับเรือประจันบานระวางขับน้ำพอฟัดพอเหวี่ยงกับฝ่ายอเมริกันคือเรือยามาโตะและมุซาชิ ในขณะที่ฝ่ายอเมริกันก็มีเรือเด่นๆอย่างเรือเอนเทอร์ไพรซ์,ฮอร์เน็ต ไม่เพียงแต่ต้องออกแบบเรือให้บรรทุกเครื่องบินได้มาก ตัวเครื่องบินเองก็ต้องถูกออกแบบใหม่หมด มันต้องมีฐานล้อกว้างเพื่อให้คงสมดุลได้ขณะร่อนลงยามเรือโคลง ปีกและหางต้องพับได้เพื่อให้เก็บได้มากขึ้นด้วยในเนื้อที่จำกัด ทั้งบนและใต้ดาดฟ้าเรือ

เรือบรรทุกเครื่องบินเป็นปัจจัยเชิงรุกอันสำคัญยิ่งของทั้งสองฝ่ายช่วงเปิดสงครามโลกครั้งที่2ด้านแปซิฟิก ญี่ปุ่นจะก่อสงครามกับสหรัฐฯไม่ได้หากไม่มีกองเรือขนเครื่องบินขับไล่และทิ้งระเบิดไปถล่มฐานทัพเรือที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ โฉมหน้าของสงครามจะเปลี่ยนไปถ้ากองเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐฯจอดอยู่ที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ ไม่ได้ออกไปซ้อมรบกลางทะเลเมื่อวันอาทิตย์ที่7 ธันวาคม 1941ขณะฝูงเครื่องบินซีโรและเครื่องบินตอร์ปิโดของญี่ปุ่นดาหน้ากันเข้าถล่มเรือรบน้อยใหญ่ที่จอดทอดสมอในวันหยุด แม้จอมพลเรืออิโซโรกึ ยามาโมโตะจะเคยกล่าวเตือนแล้วว่าการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ไม่ต่างจากการปลุกยักษ์หลับ และญี่ปุ่นไม่มีทางชนะสงครามครั้งนี้ แต่การมีกองเรือบรรทุกเครื่องบินที่เข้มแข็งก็คือตัวการสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจทำสงครามได้ง่ายขึ้น

สงครามด้านแปซิฟิกถึงจุดพลิกผันอีกครั้งที่หมู่เกาะมิดเวย์ระหว่าง4ถึง7มิถุนายน1942ภายหลังจากการถล่มแหลกของญี่ปุ่นที่เพิร์ลฮาร์เบอร์แค่ครึ่งปี เมื่อฝ่ายสหรัฐฯถอดรหัสการสื่อสารของกองเรือญี่ปุ่นได้แล้วส่งเครื่องบินขึ้นถูกที่ถูกเวลา ทั้งโชคดีและวางแผนถูกต้องประกอบกันที่ทำให้สหรัฐฯสามารถจมเรือบรรทุกเครื่องบินญี่ปุ่นได้เกือบหมดในศึกคร้ั้งนี้ เรือคางะถูกทิ้งระเบิดเป็นลำแรกตามด้วยเคืออาคากิในไม่กี่นาทีหลังจากนั้นด้วยเครื่องบินจากเรือเอนเทอร์ไพรซ์ เครื่องบินจากเรือยอร์คทาวน์ไล่ถล่มเรือโซริวกับฮิริวพร้อมกันขณะเครื่องบินบนดาดฟ้าหมดทางสู้ เพราะฝ่ายอเมริกันกะเวลาได้พอดีตอนญี่ปุ่นกำลังเติมน้ำมันและกระสุน น้ำมันและระเบิดเต็มดาดฟ้าคือตัวช่วยเร่งปฏิกิริยาให้ระเบิดรุนแรงขึ้้น เพียงในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้นที่เรือบรรทุกเครื่องบินชั้นดีของญี่ปุ่นมีสภาพเหมือนเป็ดง่อย เป็นกองไฟลอยน้ำหมดสภาพต้องถอนตัวจากยุทธนาวีแบบไม่เหลือศักดิ์ศรี หลังเสียเรือบรรทุกเครื่องบินสำคัญไปทีเดียวพร้อมกันญี่ปุ่นก็ตกเป็นฝ่ายรับตลอดจนสิ้นสงคราม

หลังสงครามโลกครั้งที่2ต้นมาหลายชาติได้ให้ความสำคัญกับเรือบรรทุกอากาศยานมากขึ้น สหรัฐฯคือผู้นำด้านเรือบรรทุกเครื่องบิน มีเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์หลายลำโดยแต่ละลำตั้งชื่อตามอดีตประธานาธิบดี มหาอำนาจยุโรปอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสถึงจะไม่มีกองเรือใหญ่เท่าสหรัฐแต่ก็ไม่เคยขาดเรือบรรทุกเครื่องบิน โดยเฉพาะอังกฤษนั้นเคยส่งเครื่องบินจากเรือไปจมเรือประจันบานเจเนอรัล เบลกราโนของอาร์เจนตินามาแล้วในศึกฟอล์คแลนด์ อินเดียเองก็มีเรือบรรทุกเครื่องบินเช่นกันในชั้น"วิกรานต์" ไม่นับรัสเซียและจีนซึ่งปัจจุบันกำลังซุ่มพัฒนาเรือบรรทุกเครื่องบินของตนให้ทันสมัย

รองลงมาจากเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือรบลำเล็กกว่าแต่ใหญ่พอจะบรรทุกอากาศยานได้ก็ถูกสร้างท้ายเรือให้เป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์เพื่อผลทางการเพิ่มระยะปฏิบัติการและเพื่อกู้ภัย ในยุคสงครามเย็นสหรัฐฯและฝ่ายโซเวียตต่างเร่งพัฒนาทั้งอากาศยานและเรือบรรทุกเครื่องบิน ที่ต้องใหญ่แล่นได้ไกลและบรรทุกเครื่องบินได้มาก ต่างจากอังกฤษที่ฉีกไปอีกแนวหนึ่งด้วยการพัฒนาเครื่องบินโจมตีเจ็ตขึ้น/ลงแนวดิ่ง"แฮริเออร์" ไว้ประจำเรือบรรทุกเครื่องบินที่ไม่ต้องใหญ่แต่แล่นได้ไกลและปฏิบัติภารกิจได้ทุกกาลอากาศ

เครื่องดีดส่งพลังไอน้ำคืออุปกรณ์เพื่อยิงเครื่องบินขึ้นจากเรือในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่2 เมื่อเครื่องบินขับไล่เจ็ตมีน้ำหนักมากกว่าเครื่องบินใบพัดและบรรทุกทั้งจรวดและระเบิดได้มากกว่า ที่ตามปกติต้องใช้ทางวิ่งขึ้นและร่อนลงยาวเป็นกิโลเมตรแต่กลับถูกจำกัดให้เหลือแค่ไม่กี่ร้อยเมตรบนดาดฟ้าเรือบรรทุกเครื่องบิน วิศวกรจึงต้องแก้ปัญหาทางวิ่งขึ้นสั้นด้วยการยิงแทนที่จะพึ่งพากำลังเครื่องยนต์เจ็ตล้วนๆ แต่ยังใช้สายเคเบิลขึงดักห่วงเกี่ยวท้ายเครื่องบินเหมือนเดิม เพียงแต่ให้แข็งแรงขึ้นและวางระบบให้รัดกุมเพื่อรองรับน้ำหนักเครื่องบินมหาศาล เครื่องดีดส่งนี้แรงมากขนาดวัดแรงเหวี่ยงได้8-9จีขณะดีดเครื่องบินอย่างF/A18เร่งเครืื่องเต็มตัวพร้อมอาวุธเต็มใต้ปีกขึ้นจากดาดฟ้า

ลำพังเรือบรรทุกเครื่องบินเพียงแบบเดียวคงไม่สามารถออกปฏิบัติภารกิจได้ เความสำคัญของมันทำให้เป็นที่หมายตาของข้าศึกที่คอยประเคนใส่ทั้งตอร์ปิโดและขีปนาวุธ ต้องมีกองเรือคุ้มกันประกอบด้วยเรือปืนประเภทต่างๆและเรือส่งกำลังบำรุง,สนับสนุนการรบรวมถึงเชื้อเพลิงจัดเป็นกองเรือขนาดใหญ่ ปราการด่านสุดท้ายของเรือบรรทุกเครื่องบินก็คือระบบอาวุธป้องกันตัวเองและเครื่องบินประจำเรือนั่นเอง เมื่อครั้งสงครามเย็นยังระอุเมื่อสี่สิบปีก่อน ตัวอย่างชัดๆของเครื่องบินป้องกันกองเรือคือF4”แฟนธอม"ของสหรัฐที่รุ่นแรกๆของมันถูกวางภารกิจไว้ชัดเจน ว่าต้องไล่ยิงหมู่เครื่องบินทิ้งระเบิดของโซเวียตด้วยจรวดอากาศสู่อากาศ แฟนธอมจึงไม่มีปืนใหญ่อากาศ จนกระทั่งมารุ่นหลังๆที่ถูกใช้เป็นหลักในสงครามเวียตนามมันจึงมีปืนให้ป้องกันตัวระยะประชิดได้บ้าง ตามมาด้วยF14”ทอมแคต"ที่รับหน้าที่เดียวกันแต่ด้วยประสิทธิภาพสูงกว่า ทั้งด้านการรับภาระน้ำหนักและความฉลาดในการวิเคราะห์/เลือกเป้าให้นักบิน

ปัจจุบันแม้เมื่อสงครามเย็นจะหมดไปแล้ว แต่กองเรือบรรทุกเครื่องบินก็ยังต้องคงไว้โดยเฉพาะสำหรับประเทศมหาอำนาจที่มีพลประโยชน์มหาศาลให้ปกป้อง โดยไม่จำกัดว่ามันจะอยู่ในทะเลหรือในแผ่นดินใหญ่ที่เรือบรรทุกเครื่องบินเข้าไม่ถึง

เพราะเรือรบชนิดนี้ต้องสนับสนุนเครื่องบินจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ประจำเรือก็ต้องมากตาม ด้วยเครื่องบินแบบต่างๆที่ประจำการบนเรือประมาณ80-100 เครื่อง ระบบอีเลคทรอนิคส์สุดไฮ-เทคช่วยรบอีกเป็นพันๆระบบรวมทั้งเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ต้องการคนดูแลใกล้ชิด ทำให้มันมีสภาพไม่ต่างจากเมืองลอยน้ำ ด้วยลูกเรือจำนวน4,000-5,000นายชายและหญิงพร้อมยุทโธปกรณ์เต็มอัตรา เรือบรรทุกเครื่องบินจึงใช้งบประมาณเพื่อคงสภาพพร้อมรบอย่างมหาศาล ไหนจะงบประมาณของกองเรือที่ห้อมล้อมมันอยู่อีก ยุทโธปกรณ์ชนิดนี้จึงเป็นของสำหรับประเทศร่ำรวยจริงๆ มีเงินมากพอและเหลือเฟือที่จะดูแลมันให้คงสภาพ"อาวุธเชิงรุก"ได้ตลอดอายุการใช้งาน

ถึงเรือบรรทุกเครื่องบินจะเป็นเครื่องบ่งบอกถึงศักยภาพทางสงครามของมหาอำนาจ เป็นอาวุธในเชิงรุกรานหรือเป็นมาตรวัดบ่งบอกถึงความ"กร่าง"ของชาติเจ้าของ แต่ก็ใช่ว่าจะใช้เพื่อการนั้นเพียงจุดประสงค์เดียว ใช้เพื่อเป็นฐานสนับสนุนการบรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติก็ได้ในยามสงบ ดังเช่นที่กองทัพเรือของเราได้ใช้เรือหลวงจักรีนฤเบศร์อย่างคุ้มค่าในการบรรเทาภัยเมื่อครั้งคลื่นสึนามิถล่มภาคใต้ ถึงจะไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำงานด้านนี้ แต่เมื่อรู้จักดัดแปลงมาใช้ประโยชน์ได้ก็ไม่ถือว่าเสียงบประมาณเกินจำเป็น ในเมื่อห้องหับและอุปกรณ์ต่างๆของเรือสามารถใช้เพื่อช่วยชาติได้จริงในยามคับขัน

G-suitและแรง"G”





ในบทความ"นั่งL39ไปดูการฝึกใช้อาวุธ"ที่เพิ่งผ่านตาท่านไปทั้งสี่ตอน ผมได้กล่าวถึงแรง"G”และชุด"G-Suit”ไว้หลายแห่งแต่ก็ไม่ได้ขยายความให้เข้าใจว่าที่เรียกว่า"แรงจี"และ"จีสูท"นั้นสำคัญอย่างไรต่อการบินด้วยเครื่องบินความเร็วสูง บทความชิ้นนี้จะเป็นการขยายความเพื่อให้แฟนคอลัมน์เข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับการบินได้ดีขึ้น

ผู้สนใจเกี่ยวกับการบินคงต้องเคยได้ยินมาบ้างกับเรื่องราวของแรงชนิดหนึ่ง คือ"แรงจี"(G-force)ที่กระทำกับนักบินผู้บังคับเครื่องบินเล็กความเร็วสูง ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดไปว่า"G”คือตัวย่อของแรงดึงดูดของโลก"Gravitational force”ในภาษาอังกฤษซึ่งก็ไม่ผิดเสียทีเดียวเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งที่มาทำให้แรง"จี"สมบูรณ์ขึ้นเท่านั้น ถ้าตัวอักษร"G”ไม่ได้ย่อมาจากคำเต็มว่า"Gravitational”แล้วมันมาจากไหน?

ถ้าจะไม่ให้อธิบายจนเป็นวิชาฟิสิกส์ก็พูดได้ง่ายๆว่าแรงจีคือ"อัตราเร่ง"(acceleration) หมายความว่าเป็นความเร็วที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลาหนึ่ง ด้วยการยกตัวอย่างคือความเร็วของวัตถุเพิ่มจาก10มาเป็น20../..ในเวลา5วินาที ตรงนั้นแหละคืออัตราเร่งที่เพิ่มความเร็วขึ้นอีก10../..ในเวลา5วินาที แรงจีจะเกิดได้ต่อเมื่อมีอัตราเร่งเท่านั้น ถ้าอัตราเร่งไม่เกิดเพราะความเร็วคงที่ไม่ว่ามันจะสูงแค่ไหนก็ตามย่อมไม่เกิดแรงจี จะเกิดแรงจีได้ต้องมีองค์ประกอบพื้นฐานสองอย่างคืออัตราเร่งและน้ำหนักของวัตถุ คำว่าแรงจีจึงไม่ใช่ตัวย่อแต่เป็นคำเรียกเฉพาะสำหรับ"อัตราเร่ง"ในภาษาอังกฤษ มันถูกเข้าใจผิดว่าเป็น"แรง"(force)เมื่อถูกเรียกว่า g-forceทั้งที่ในความเป็นจริงเป็นเพียงอัตราเร่ง มีหน่วยสากลเป็นระยะทางต่อวินาทียกกำลังสอง(m/s2 )

อัตราเร่งจึงเกิดขึ้นได้ในช่วงใดช่วงหนึ่งของเวลาเท่านั้นเช่นตอนรถยนต์เริ่มออกตัว เมื่อความเร็วของรถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแต่วัตถุในรถคือตัวเรายังอยู่กับที่ จะรู้สึกถึงอัตราเร่งได้ชัดเจนเมื่อหลังถูกกดติดเบาะ ขณะรถเคลื่อนไปแต่ตัวเราซึ่งมีน้ำหนักยังพยายามอยู่นิ่ง ยิ่งอัตราเร่งมากอันหมายถึงความเร็วเพิ่มขึ้นในเวลาอันสั้นและวัตถุน้ำหนักมากแรงจีก็จะมากตาม แต่แรงจีจะหายไปเมื่อไม่เกิดอัตราเร่งอันหมายถึงเมื่อความเร็วคงที่ เช่นเมื่อรถยนต์แล่นด้วยความเร็วใดๆก็ตามที่ไม่ได้เร่งเครื่องและคงความเร็วนั้นไว้ตลอด เมื่อความเร็วคงที่ก็ไม่เกิดความเครียด ไม่มีแรงจี

นักวิทยาศาสตร์กำหนดไว้ว่าวัตถุตั้งนิ่งๆอยู่กับพื้นโลกจะมีอัตราเร่งเท่ากับ1จี เพราะมันพยายามกดพื้นลงในขณะที่พื้นเองก็ต้านไว้อยู่ ยันกันไว้ด้วยแรงเท่ากันพื้นก็ไม่ยุบวัตถุเองก็ไม่จมแรงจีจึงมีค่าเท่ากับ1 หมายความว่าน้ำหนักของวัตถุยังคงเดิมมันถึงตั้งอยู่ได้ ถ้าพื้นดินเลื่อนขึ้นกะทันหันด้วยอัตราเร่งระดับหนึ่งเท่านั้นจึงจะเกิดแรงจีขึ้นได้ ซึ่งค่าอัตราเร่งที่จะทำให้เกิดแรงจีมากกว่า1คือต้องเร่งได้มากกว่า 9.80665เมตรต่อวินาทียกกำลังสอง ไม่เกิดแรงจีกับวัตถุใดๆที่ร่วงหล่นอย่างอิสระ และสามารถเกิดแรงจีได้กับวัตถุใดๆที่เคลื่อนที่ในแนวราบเช่นกัน ไม่ใช่เพียงแต่ต้องล่องลอยกลางอากาศแบบเครื่องบินเท่านั้น รถแข่งฟอร์มิวลา1ขณะเลี้ยวโค้งด้วยความเร็วสูงสามารถสร้างอัตราเร่งให้ตัวรถเองและคนขับได้3-4จี เมื่อชลอความเร็วลงตอนเข้าโค้งแล้วดูเหมือนใกล้จะหยุด จริงๆแล้วทั้งคนและรถกำลังพยายามจะเหวี่ยงตัวเองออกจากโค้งนั้น เมื่อหลุดโค้งไปไม่ได้ไม่ว่าจะด้วยความหนืดของดอกยางหรือพื้นถนนยกรับโค้งไว้ก็ตาม ตอนนั้นแหละที่เกิดแรงจีเมื่อน้ำหนักพุ่งไปแล้วแต่วัตถุยังอยู่นิ่ง ถ้ารถหลุดโค้งไปแล้วยังไม่ไปปะทะอะไรเข้าก็ไม่เกิดแรงจี แต่ถ้าปะทะเข้ากับผนังหรือต้นไม้จนเปลี่ยนรูปไปทั้งคนทั้งรถ แรงที่หยุดมันไว้นั่นก็เป็นแรงจีเช่นกัน จีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเร็วและน้ำหนักของรถและคนขับ

เข้าใจพอสังเขปถึงแรงจีทั่วๆไปแล้วลองมาดูที่เครื่องบินกันบ้างโดยเฉพาะเครื่องบินรบ ตัวต้นเหตุที่ทำให้นักบินรบโดยเฉพาะนักบินขับไล่และโจมตีต้องสวมกางเกงที่ถูกเรียกผิดๆมาตลอดว่าเป็น"สูท"(suit) ทั้งที่มันเป็นเพียงกางเกงลูกโป่งรัดช่วงขาและหน้าท้องเท่านั้น เพิ่งจะมาประกอบกันเป็นสูททั้งกางเกงและเสื้อ ที่เรียกว่า"เพรสเชอร์ สูท"(pressure suit)เมื่อไม่กี่ปีมานี้เองเมื่อเครื่องบินความเร็วสูงขึ้นมาก นักบินต้องทนแรงจีมากกว่าแต่ก่อน

เราทราบดีว่าเลือดเป็นของเหลวไม่ต่างจากน้ำหรือของเหลวอื่นๆ โดยธรรมชาติแล้วของเหลวจะไหลลงต่ำตามแรงโน้มถ่วงและจะไหลลงเร็วยิ่งขึ้นเมื่อถูกกดดัน เลือดในร่างกายคนจะไหลไปเลี้ยงส่วนต่างๆด้วยการบีบรัดของหัวใจและหลอดเลือด ในสภาวะแวดล้อมตามปกติที่ตัวนักบินมีอัตราเร่ง1จี คืออยู่นิ่งๆหรือเคลื่อนที่่ด้วยความเร็วสม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็น10หรือ900กิโลเมตรต่อชั่วโมง การไหลเวียนของเลือดจะเป็นปกติทุกอวัยวะจะมีเลือดไปเลี้ยงโดยเฉพาะสมอง สมองที่ไม่ขาดเลือดจะทำให้นักบินตื่นตัว คิด,ตัดสินใจและเคลื่อนไหวได้เป็นปกติรวมถึงมองเห็นภาพได้ชัดเจน แต่เมื่อใดที่สมองขาดเลือดพฤติกรรมทั้งหมดจะกลายเป็นตรงกันข้าม นักบินจะหมดสติ ที่เคยมองเห็นชัดๆจะพร่าพรายเมื่อเลือดไม่ไปเลี้ยงสมองและตา เพื่อป้องกันไม่ให้สมองนักบินขาดเลือดเขาจึงต้องมีเครื่องช่วยกดดันไล่เลือดขึ้นเลี้ยงสมองอยู่ตลอดเวลา

เปรียบเลือดเป็นน้ำในกระป๋องนมผูกเชือกที่เราเหวี่ยงเป็นวง ยิ่งเหวี่ยงเร็วยิ่งพบว่ากระป๋องนั้นยิ่งหนัก หมายความว่าอัตราเร่งที่เพิ่มขึ้นทำให้น้ำพยายามดันตัวเองให้ทะลุก้นกระป๋องด้วยแรงที่มากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าก้นกระป๋องอ่อนนุ่มและเปื่อยน้ำก็จะพุ่งออกจากตรงนั้น เปรียบได้กับเลือดของเราที่ถูกเหวี่ยงให้ไหลจากหัวไปกองที่เท้าขณะเครื่องบินหักเลี้ยว ยิ่งเครื่องบินเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงแรงจีก็ยิ่งรุนแรง เราไม่รู้สึกถึงแรงจีในรถยนต์ธรรมดาหรือเครื่องบินโดยสารเพราะอัตราเร่งไม่รุนแรงพอ กล่าวคือทั้งสองตัวอย่างมีการเปลี่ยนแปลงความเร็วไม่ฉับพลันเท่ากับเครื่องบินรบความเร็วสูงเช่นเครื่องบินขับไล่หรือโจมตี ที่การออกแบบและกำลังของเครื่องยนต์สามารถก่อให้เกิดอัตราเร่งได้มากกว่า1จีหรือ9.80665เมตรต่อวินาทียกกำลังสองเมื่อเปลี่ยนทิศทางทั้งนั้น

ถ้า1จีเท่ากับน้ำหนักปกติ การที่เครื่องบินบินมาแล้วลดความเร็วฉับพลันเพื่อหักเลี้ยวแทบเป็นมุมฉากจนทำให้เกิดอัตราเร่งหนีศูนย์ขึ้นมากกว่า1จี ซึ่งอาจเป็นได้ตั้งแต่4ถึง9 น้ำหนักของเครื่องบินและนักบินก็จะเพิ่มขึ้นชั่วขณะตั้งแต่4ถึง9เท่า(ปัจจุบันเครื่องบินรบทำจีได้มากที่สุดถึง12แต่นักบินกับจีสูทปกติทนได้9เว้นแต่กับจีสูทรุ่นใหม่ที่ทำให้นักบินทนแรงจีได้เท่าเครื่องบิน) อันหมายความว่านักบินน้ำหนัก80 ..จะมีน้ำหนักเป็น80คูณจำนวนแรงจีต้ั้งแต่คูณ2ถึงคูณ9 ยิ่งจีมากเลือดก็ยิ่งไหลลงเท้าเร็ว ถ้าเลี้ยวแล้วคงอัตราเร่งไว้นานอาการหน้ามืดตามัวก็ยิ่งนาน วิธีสู้กับแรงจีหรือไล่เลือดกลับสู่สมองตามหลักง่ายๆคือต้องบีบเส้นเลือดในส่วนต่ำที่สุดของร่างกายถึงส่วนกลางให้ตีบเพื่อไล่เลือดกลับ จะบีบได้ก็ต้องมีแรงกดดันสม่ำเสมอตลอดช่วงขาและหน้าท้อง ตรงนี้แหละที่จีสูทหรือชื่อเต็มๆว่า”แอนตี้จีสูท”(anti-G suit)เข้ามามีบทบาท

จีสูทแบบมาตรฐานนั้นโดยสภาพคือกางเกงไล่เลือด มันเป็นกางเกงขายาวพอดีตัวแบบไม่มีเป้าหัวและเว้นช่องว่างตรงเข่า ใช้สวมทับชุดบินกันไฟ(ลาม)หรือที่เรียกกันติดปากว่าชุดหมี กางเกงตัวนี้พิเศษกว่ากางเกงธรรมดาคือมีสภาพเป็นถุงลมรัดไว้ตลอดช่วงขาถึงหน้าท้อง ได้ลมจากท่อต่อเข้าหัวต่อในห้องนักบิน เมื่อใดที่เครื่องบินเลี้ยวด้วยอัตราเร่งสูงกว่า1จีวาล์วอัตโนมัติจะเปิดปล่อยลมเข้าถุงลมในจีสูทให้พองรัดไล่เลือดตลอดลำตัวช่วงล่างกลับขึ้นสู่สมองทันที กางเกงจะรัดน้อยๆหรือรัดติ้วจนหน้าเขียวก็ขึ้นอยู่กับความสาหัสของแรงจีเมื่อเครื่องบินเลี้ยว ประมาณว่าเลือดที่ถูกกดดันหนักด้วยแรง7-9 จีจะมีความหนาแน่นใกล้เคียงกับเหล็ก นอกจากสมองที่ต้องต่อสู้กับการขาดเลือดแล้วหัวใจยังต้องทำงานหนัก เพื่อสูบฉีดเหล็กเหลวไปเลี้ยงสมองและกล้ามเนื้อ!

แรงจีเกิดเฉพาะกับเครื่องบินเจ็ตเท่านั้นหรือเปล่า? คนทั่วไปมักจะถามเช่นนี้ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ แรงจีเกิดจากอัตราเร่งไม่ได้เกิดจากประเภทเครื่องยนต์ แม้แต่เครื่องบินใบพัดก็ตามถ้าบินด้วยความเร็วสูงแล้วหักเลี้ยวฉับพลันแรงจีก็เกิดเช่นกัน ไม่แปลกที่นักบินรบเครื่องบินใบพัดจะสวมจีสูท นักบินรบสมัยสงครามโลกครั้งที่2เองก็พบปัญหาหน้ามืดระหว่างเครื่องบินหักเลี้ยวเช่นกันแต่ด้วยเทคโนโลยีที่ยังไม่ก้าวหน้า ทางแก้ปัญหาจึงมีแค่ให้ยกขาให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เครื่องบินรบเยอรมันบางรุ่นมีแป้นให้นักบินใช้วางเท้าสูงกว่าปกติเพื่อป้องกันเลือดไหลลงเท้า หรือไม่ก็ใช้ความชำนาญเลี้ยงแพนหางตั้งและแพนหางดิ่งให้พอเหมาะเครื่องจะได้ไม่เลี้ยวหักมุมมากจนตัวเองทนแรงจีไม่ไหว และอีกประการหนึ่งคือความเร็วที่ยังไม่สูงเหมือนทุกวันนี้นักบินจึงพอทนแรงจีช่วงสั้นๆได้โดยไม่ต้องสวมจีสูท

เครื่องบินขับไล่สมัยใหม่มักจะถูกออกแบบให้เครื่องยนต์แรง มีปีกเล็กซ้อนปีกใหญ่เพื่อต้านอากาศลดรัศมีเลี้ยวให้แคบลง(เช่นยาส39"กริปเปน”)นักบินยุคปัจจุบันจึงถูกเครื่องบินทำทารุณกรรมมากกว่าสมัยสงครามโลกครั้งที่2หลายเท่า เครื่องบินที่ถูกออกแบบมาเพื่อเน้นการคลุกวงในแบบด็อกไฟต์ โดยเฉพาะF16เมื่อแรกเริ่มยังเป็นเครื่องบินต้นแบบทำนักบินหน้ามืดจนโหม่งโลกไปก็หลาย ด้วยเหตุที่มันมีความคล่องตัวสูงมีรัศมีเลี้ยวฉกาจจนบินท่าทางแปลกๆได้มาก และทุกครั้งที่มันตีวงนักบินต้องรับภาระหนัก ถึงตัวเครื่องเองจะรับภาระจากอัตราเร่งได้สูงสุด12จี แต่นักบินด้วยจีสูทปกติจะรับภาระได้ 9จี ทุกครั้งที่โดนเหวี่ยงนักบินจะแทบสิ้นสติ แม้ว่าเก้าอี้เอนหลัง30องศาของมันจะช่วยลดภาระได้3จี จีสูทกับการเกร็งตัวช่วย(L1-M1 manoeuvre)ช่วยลดภาระได้อีก3-4จี อัตราเร่งที่เหลือเมื่อหักจาก9จีคือภาระที่นักบินต้องรับไปเต็มๆ

ถึงเราจะรู้จักแรงจีกันมากในส่วนจีบวกคือแรงจีที่กระทำลงด้านล่างของวัตถุ ซึ่งจะทำให้น้ำหนักมากขึ้นเป็นเท่าตามขนาดของแรงจี ในทางกลับกันถ้าแรงจีกระทำกับวัตถุในทางสวนทางกับแรงโน้มถ่วง หรือดึงขึ้นข้างบน มันก็จะถูกเรียกว่าแรงจีลบ ตัวอย่างคือเมื่อนักบินบินหักเลี้ยวแล้วแทนที่จะหันท้องเครื่องออกตามปกติซึ่งเลือดจะไหลลงเท้า แต่กลับหันศีรษะออก แรงจีที่พุ่งจากปลายเท้าไปศีรษะก็จะดันเลือดกลับขึ้นจนเลือดตกศีรษะ เส้นเลือดในตาจะปูดจนตาแดงก่ำปวดหัวตุบๆ การคงจีลบไว้นานๆมีผลเสียพอที่จะทำให้เส้นเลือดในสมองแตกตายได้ แต่นักบินขับไล่จะพบกับจีลบได้น้อยเพราะไม่ใช่ท่าบินเพื่อปฏิบัติภารกิจตามปกติ จีสูทจึงมีไว้รองรับภาระของอัตราเร่งเฉพาะจีบวกเท่านั้น

เมื่อคำนึงถึงความเร็วของเครื่องบินรบ อัตราเร่งจีและสภาพร่างกายอันทรมานทรกรรมของนักบิน การเป็นนักบินขับไล่ยุคปัจจุบันจึงไม่ใช่เรื่องสะดวกสบาย เขาเท่เมื่อไต่ลงมาจากเครื่องบินพร้อมเครื่องแต่งกายอันรุงรังก็จริง แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่านักบินรบต้องเจอกับอะไรบ้างในค็อกพิทอันแสนแคบพอให้วางตัวได้ ผมเขียนถึงความรู้สึกของนักบินขับไล่ได้เพราะเคยสวมจีสูทมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกกับเอฟ16เมื่อห้าปีที่แล้วและอีกครั้งที่เพิ่งผ่านไปเมื่อวันที่4กันยายนนี้กับแอล39ในที่นั่งหลังครั้งละหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ถึงจะไม่ได้บังคับเครื่องเองแต่ก็ได้ใช้กางเกงประหลาดๆนี้แบบเต็มร้อย เข้าใจความรู้สึกของนักบินชัดเจนเลยเมืื่อจีสูทบีบรัด ยิ่งเลี้ยวแรงยิ่งหน้ามืดชุดก็ยิ่งบีบรัดมาก มองอะไรก็แทบไม่เห็นขณะแรงจีเล่นงาน ภาพที่เคยเห็นชัดๆลีบเล็กลงแทบเป็นเส้นเดียวขนาบด้วยพื้นที่มืดซ้ายขวา เหมือนจอทีวีใกล้จะดับ

ความคิดเมื่อได้ดูภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับเครื่องบินขับไล่เปลี่ยนไปทันทีหลังได้สัมผัสจีสูท ทุกวันนี้เมื่อได้เห็นเครื่องบินในภาพยนตร์เลี้ยวผมยังรู้สึกได้ว่าท้องไส้ปั่นป่วน ไม่มีภาพเท่ๆกับรอยยิ้มพิมพ์ใจของทอม ครูซในหัวอีกต่อไป เห็นแต่ภาพตัวเองกำลังต่อสู้กับอาการใกล้จะเป็นลมหน้าเขียวหน้าเหลืองอย่างเดียว

ใครที่คิดอยากสวมจีสูทสักครั้งในฐานะนักบินรบจริงๆจงสังวรณ์ไว้เลยว่าคุณต้องแข็งแรง มีจิตใจพร้อมจริงๆ ถ้าตัวเองไม่แกร่งเป็นทุนอยู่แล้วถึงจะมีจีสูทก็คงช่วยอะไรไม่ได้ หลับคาเครื่องจริงๆไม่ได้ล้อเล่น จะตื่นขึ้นมาอีกแบบเป็นๆหรือตื่นขึ้นในสวรรค์-นรกที่ไหนคงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้!