วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

18…16…12 หรือแค่6? (1)


แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ” เป็นประโยคภาษาไทยที่ถูกแปลมาจากภาษิตภาษาลาตินว่า” Si vis pacem, para bellum” ตรงกับประโยคภาษาอังกฤษว่า”If you wish for peace,prepare for war” แต่ใครจะพูดไว้นั้นผมใคร่จะให้เป็นการบ้านของท่านผู้อ่าน ด้วยไม่อยากให้กลายเป็นบทความทางภาษาศาสตร์ไปเสียเปล่าๆซึ่งไม่ใช่แนวของบทความนี้

ภาษิตตอนต้นเรื่องนั้นฟังดูเหมือนง่าย ถ้าไม่อยากรบก็ต้องเตรียมกองทัพให้พร้อม พอตะพดของเราใหญ่กว่าก็ไม่ต้องเกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น กลัวใจตัวเองจะอดไม่ไหวที่จะไปรุกรานเขาก็พอ การเตรียมทัพให้พร้อมล้อมรั้วบ้านให้แข็งแรงยังใช้ได้ถึงทุกวันนี้ ไม่ต้องยกตัวอย่างกองทัพสหรัฐก็ได้เพราะเขาถนัดทางรุก อเมริกาไม่เคยมีสงครามในดินแดนตัวเองเพราะส่งทหารไปรบนอกบ้านตั้งแต่เริ่มมีกองทัพ ตั้งแต่ปราบสลัดมุสลิมในชายฝั่งบาบารี่สมัยโธมัส เจฟเฟอร์สันจนเป็นต้นกำเนิดนาวิกโยธิน จนถึงส่งทหารไปรบในยุโรป เกาหลี เวียตนามและล่าสุดคืออิรักกับอาฟกานิสถาน

ตัวอย่างที่ดีของ”แม้หวังตั้งสงบฯ”กลับไปอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์และสวีเดน สองชาติเล็กๆในยุโรปที่แม้แต่เยอรมนีและรัสเซียเองก็ยังไม่กล้ายุ่ง ใครที่อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์นานพอจะพบว่าประเทศนี้ไม่ค่อยมีฐานทัพให้เห็น แต่เมื่อพิจารณาให้ดีในจุดสำคัญตามชายแดนจะพบว่าบ้านช่องธรรมดานั้นมีช่องให้ปืนใหญ่โผล่ออกมา ยามปกติจะถูกซ่อนพรางอย่างแนบเนียน เมื่อจะใช้งานปืนใหญ่และปืนกลหนักจึงจะเผยตัว ยิงตามแนวและวิถีกระสุนที่ถูกคำนวณปรับแต่งคลุมพื้นที่ไว้เรียบร้อยแล้ว

หน้าผาหินถูกเจาะเข้าไปเป็นฐานทัพใต้ภูเขาแล้วสร้างประตูโลหะฉาบปูนทับ ตกแต่งเลียนแบบสภาพตามธรรมชาติได้เนียนแม้แต่ปลูกต้นไม้ให้กลมกลืน เมื่อข้าศึกเคลื่อนเข้ามาในแนวทั้งที่ตรวจการณ์หน้าดีแล้วก็ตาม ก็ยังไม่วายจะถูกทำลายเมื่อจู่ๆหน้าผาหินก็เลื่อนออกให้ทั้งทหารและยวดยานเข้าประจำที่ตั้ง เยอรมันไม่ยึดสวิตเซอร์แลนด์ช่วงสงครามโลกครั้งที่2เพราะไม่คุ้ม เว้นไว้สักชาติเพื่ออ้อมไปเคี้ยวชาติอื่นๆที่พร้อมน้อยกว่ายังง่ายกว่าเป็นไหนๆ

ส่วนสวีเดนที่มีประชากรเพียงสิบล้านก็ตั้งยันกองทัพโซเวียตในช่วงสงครามเย็นได้ ด้วยกองทัพอากาศที่ใหญ่เป็นอันดับ4ของโลกที่โซเวียตเองยังครั่นคร้าม ซ่อนทั้งเครื่องบินและเรือดำน้ำไว้ในหน้าผากลเลื่อนได้เช่นเดียวกับสวิส ทั้งสองชาติเน้นยุทธศาสตร์ป้องกันและเตรียมกองทัพไว้ให้พร้อมเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ดังนั้นถ้าใครคิดว่ามีกองทัพแล้วจะต้องรุกรานอย่างเดียวจึงโปรดเปลี่ยนความคิด เพราะเคยปรากฏในประวัติศาสตร์แล้วด้วยเรื่องราวของสองชาตินี้ ว่ารั้วที่แข็งแรงย่อมทำให้เจ้าของบ้านอุ่นใจ

ต้องยกตัวอย่างของสวีเดนในเรื่องการป้องกัน เพราะเขามียุทธศาสตร์แบบเดียวกับเราคือไม่รุกรานคนอื่นแต่ใครๆก็ย่ำยีเขาไม่ได้ และด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด เครื่องมือป้องกันที่ดีที่สุด เร็วที่สุดก็คือกำลังทางอากาศ ในสมัยสงครามโลกทั้งสองครั้งนั้นอาจจะเน้นที่จำนวนก็จริงเพราะยังไม่มีเทคโนโลยีไอทีมาช่วย หลังจากมีเครื่องบินเจ็ตความเร็วเหนือเสียงและเครื่องช่วยเดินอากาศ(Avionic)ที่ทันสมัย หลักนิยมการใช้กำลังทางอากาศก็เปลี่ยนไปเป็นการเน้นที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ เป้าหมายทางยุทธศาสตร์แห่งเดียวที่เคยใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดแห่กันไปถล่มเป้าละหลายร้อยเครื่อง(ไม่นับเครื่องบินขับไล่คุ้มกันอีกมากพอกัน)ในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ปัจจุบันด้วยเป้าแบบเดียวกันกลับใช้เครื่องบินขับไล่เอนกประสงค์แค่ไม่เกิน5เครื่องบินไปทำลาย รับประกันความแม่นได้ด้วยว่าระเบิดจะพุ่งตามพิกัดจีพีเอสลงตรงเป้าทุกลูก เมื่อ20ปีก่อนอิสราเอลทำลายโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของอิรักสำเร็จมาแล้วด้วยเอฟ-16ไม่ถึง10เครื่องด้วยซ้ำทั้งที่ยังไม่มีจีพีเอส!

แต่กว่าจะพัฒนามาถึงขั้นนี้นั้น การใช้กำลังทางอากาศถูกพัฒนามาตั้งแต่เริ่มสร้างเครื่องบินสำเร็จ เมื่อเอาโครงไม้กับผ้ามาประกอบกันแล้วประกอบเครื่องให้ลอยไปมาได้ มนุษย์ก็เริ่มคิดจะใช้มันรบทันที จะเอาอาวุธอะไรมาติด? ติดแล้วจะยิงมันอย่างไร? ใช้ถ่ายภาพได้แล้วจะหย่อนระเบิดใส่ที่หมายได้ไหม?และอื่นๆอีกร้อยแปด

จูลิโอ ดูเอ (1869-1930)นายทหารนักบินชาวอิตาเลียน คือคนแรกที่เสนอแนวคิดคลาสสิกด้านการใช้กำลังทางอากาศในหนังสือที่ตนเองเขียนชื่อ”The Command of The Air” ที่ยังใช้ได้เป็นส่วนใหญ่แม้จะมีแนวความคิดที่ใหม่กว่าของนักการทหารอเมริกันและอังกฤษคือวิลเลียม มิทเชลและฮิวจ์ เทรนเชิร์ดเสนอออกมาภายหลัง

แนวความคิดของดูเอที่ว่า”คลาสสิก”นั้นสรุปได้ดังนี้1.ผู้ครองอากาศได้ก่อนย่อมได้เปรียบ 2.เป้าหมายเบื้องต้นต้องเป็นแหล่งอุตสาหกรรมและย่านธุรกิจ 3.ชิงทำลายกำลังทางอากาศให้ได้ก่อนบนพื้นดิน ทำลายแหล่งผลิตเครื่องบินเสียเลยถ้ามีโอกาส 4.กำลังภาคพื้นเข้ายึดพื้นที่และตัดการคมนาคม แต่กำลังทางอากาศทำลายขวัญและกำลังใจให้ได้ก่อนเป็นการปูพื้น และ5.ใช้เครื่องบินให้คุ้ม เครื่องบินขับไล่ต้องโจมตีภาคพื้นดินได้ด้วย

ทั้งหมดนี้โดยสังเขปคือต้นกำเนิดของยุทธศาสตร์เชิงรุก เพื่อทำลายกำลังทางอากาศของข้าศึกให้ได้ที่พื้นเสียก่อนแล้วซ้ำด้วยการตัดกำลังจากการโจมตีแหล่งอุตสาหกรรม ทั้งฝ่ายเยอรมันและสัมพันธมิตรได้แสวงประโยชน์จากหลักการของดูเอเต็มที่ในสงครามโลกทั้งสองครั้ง และสงครามอีกหลายครั้งที่ใช้กำลังทางอากาศเข้าตัดสินก็ใช้หลักการนี้ จนถึงล่าสุดที่ฝ่ายอเมริกันใช้หลักการเดียวกันในยุทธการ”พายุทะเลทราย”ต้นทศวรรษ90และ”อิรัคเสรี”หลังเหตุการณ์9/11 ความคิดเรื่อง”การใช้เครื่องบินให้คุ้ม”ของเขาได้กลายเป็นแนวความคิดการสร้างเครื่องขินขับไล่เอนกประสงค์(Multi role fighter)ในปัจจุบัน

ด้วยจำนวนที่น้อยกว่าและใช้ยุทโธปกรณ์เทคโนโลยีสูง กำลังทางอากาศยิ่งทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆตามความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศที่พัฒนาได้ซับซ้อนอันเป็นผลจากการพัฒนาคอมพิวเตอร์แบบก้าวกระโดด ถูกจับยัดลงในเครื่องบินรบเช่นกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เครื่องบินรบยุคดิจิตอลมีสภาพใกล้เคียงเกมเพลย์สเตชั่นเข้าไปเรื่อยๆ บินง่าย นักบินรับทราบและหยั่งรู้สถานการณ์ได้โดยไม่ต้องพูด ลดขั้นตอนการตัดสินใจให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อให้เขาตัดสินใจได้ก่อนข้าศึกแล้วชิงใช้อาวุธก่อนจนทำลายเป้าหมายได้ ความเหนือกว่าด้านจำนวนเปลี่ยนไปเป็นการวัดกันที่เทคโนโลยี หมัดยาวกว่า ข้าศึกมองไม่เห็นเข้าถึงตัวได้ก่อน ยิงก่อนก็ชนะ

เพราะอากาศยานสามารถทะลุทะลวงเขตแดนและใช้เทคโนโลยีสูง กำลังทางอากาศจึงแตกต่างจากกำลังภาคพื้น เครื่องบินเข้าถึงพื้นที่ปะทะเร็วกว่าและใช้กำลังน้อยกว่า ขณะที่ภาคพื้นดินต้องจัดกำลังเป็นกลุ่มๆ ตั้งแต่หมู่ถึงกองพลและทหารต้องทำงานประสานกันเหมือนฟันเฟือง ขณะที่นักบินเพียง1นายก็สามารถพาเครื่องบินเครื่องเดียวบินข้ามแดน เข้าไปทำลายจุดศูนย์ดุล(center of gravity)ของข้าศึกได้ ตัวอย่างชัดเจนคือการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ทั้งสองลูก ซึ่งฝ่ายอเมริกันประเมินแล้วว่าอาจเสียทหารเหยียบล้านถ้ายกพลขึ้นเกาะญี่ปุ่น การใช้เครื่องบินบี-29แค่สองลำจึงช่วยสงวนชีวิตทหารและทรัพย์สิน(ของผู้ชนะ)ได้มาก และในทางกลับกันก็ทำลายความสามารถต่อต้านของข้าศึกได้มหาศาล เทียบไม่ได้เลยกับมูลค่าของยุทโธปกรณ์

เมื่อเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด ความจริงข้อหนึ่งคือมันแพร่หลายและทุกชาติสามารถครอบครองเทคโนโลยีระดับสุดขั้วได้ ทุกประเทศสามารถมีเครื่องบินรบพร้อมออปชั่นเพียบได้เสมอกันถ้ามีเงินซื้อ ถ้าไม่มีเครื่องบินก็ชดเชยด้วยขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ พอมีเหมือนกันหมดยุทธศาสตร์การใช้กำลังทางอากาศเพื่อรุกรานจึงต้องเปลี่ยนมาเป็นเพื่อการป้องปราม มีเครื่องบินไว้เพื่อไม่ต้องรบ มีของดีๆไว้ใช้เพื่อไม่ต้องให้ลูกหลานของเราเสียเลือดเนื้อ และไทยเราเองก็ใช้เครื่องบินเพื่อสันติมาตลอด

ที่น่าภูมิใจคือเราเคยมีกองทัพอากาศใหญ่สุดในเอเชียรองจากญี่ปุ่นเท่านั้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ตามที่เอ็ดเวิร์ด เอ็ม. ยังก์แห่งสถาบันสมิธโซเนียนอ้างไว้ในหนังสือชื่อ”Aerial Nationalism : A History of Aviation in Thailand” ที่กล่าวถึงกองทัพอากาศไทยตั้งแต่เริ่มก่อตั้งหลังการบินครั้งแรกของสองพี่น้องตระกูลไรท์เพียงไม่ถึงสิบปี ถ้ากองทัพอากาศของเราไม่เฉียบจริงสมิธโซเนียนของสหรัฐฯคงไม่เสียเวลามาเขียนหนังสือประวัติศาสตร์อ้างถึงเป็นเล่มๆให้

กำลังทางอากาศจึงเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งโดยเฉพาะถ้าหวังจะ”ตั้งสงบ” การมีเครื่องบินรบทันสมัยไว้ใช้จึงไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย เพราะยุทธศาสตร์ของเราเน้นที่การป้องปรามไม่ใช่การรุกราน เราจึงไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องบินใหญ่ที่บินได้ไกลอย่างซู-30หรือเอฟ18 การเลือกใช้เครื่องบินขับไล่เอนกประสงค์เช่นเอฟ16(เดิม)และกริปเปน(ใหม่)นั้นเหมาะสมแล้ว ส่วนความเหมาะสมด้านจำนวนของมันที่จะรบแล้วนักบินรอดชีวิตกลับมานั้นจะอยู่ที่กี่ลำต่อ1ฝูง? แต่ละลำในฝูงจะถูกแบ่งไปทำหน้าที่อะไรบ้าง? มีวงรอบการทำงานอย่างไรจึงต้องถูกกำหนดจำนวนไว้เช่นนั้น? ตอนหน้านี้แหละที่ท่านจะเข้าใจถึงตัวเลขที่ใช้เป็นชื่อเรื่อง ว่า”18…16…12หรือแค่6?”



วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Eject! eject!




เมื่อนักบินรบบังคับเครื่องบินคู่ชีพของตนไม่ได้ และการเสียการควบคุมนั้นอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทางเลือกมีอย่างเดียวเท่านั้นคือต้องสละเครื่องด้วยเก้าอี้ดีดตัว(Ejection seat)หรือ”เก้าอี้เพื่อสุขภาพ”ที่กล่าวถึงความเป็นมาไว้ในฉบับที่แล้ว โดยระบบการทำงานของมันตามมาตรฐานถูกแบ่งเป็นสองขั้นตอน เริ่มด้วยฝาครอบห้องนักบินเปิดหรือหลุดลอยออกไป ตามด้วยเก้าอี้และนักบินพุ่งตามไปพร้อมกัน ยุคเริ่มแรกนักบินต้องทำเองทั้งหมดตั้งแต่กดปุ่มให้ฝาครอบหลุดตามด้วยดึงห่วงเริ่มกระบวนการทำงานให้เก้าอี้พุ่งตาม
แต่ปัจจุบันนี้เก้าอี้ดีดตัวรวบสองขั้นตอนมาไว้เป็นหนึ่งเดียว เช่นแบบACESII(Advanced Concept Ejection Seat)ที่ใช้ในเอฟ16 นักบินเพียงแต่เอื้อมมือไปดึงห่วงที่หว่างขาฝาครอบก็จะดีดตัวก่อนแล้วเก้าอี้ยิงตัวตามด้วยเครื่องยนต์จรวด กระบวนการที่เหลือเก้าอี้จะทำให้หมด แต่ห่วงดังกล่าวก็ใช่ว่าจะดึงได้ง่ายๆเพราะต้องใช้แรงข้อหนักเอาเรื่อง เผลอเอามือไปโดนห่วงแล้วเด้งหลุดเองยิ่งไม่มีทาง
เอซเซสทูว์คือเก้าอี้ดีดตัวของมาร์ติน เบเคอร์ ที่ใช้ในเครื่องบินรบหลักๆของสหรัฐฯและค่ายตะวันตก รวมทั้งยาส39(JAS 39Gripen) เริ่มขั้นตอนเมื่อนักบินนั่งในค็อกพิตด้วยการเปิดสวิทช์(armed)ให้พร้อมใช้ตอนขึ้นเครื่อง ถ้าสวิทช์นี้ไม่ถูกเปิดถึงจะดึงห่วงยางให้ขาดคามือเก้าอี้ก็ยังเฉย เครื่องบินสองที่นั่งเรียงกันสามารถกำหนดได้ว่าจะให้ใครดีดก่อน ตามปกตินักบินนั่งหลังจะดีดก่อนเพื่อไม่ให้ถูกความร้อนจากเครื่องยนต์จรวดในเก้าอี้ตัวหน้าย่างสด แล้วตามด้วยนักบินนั่งหน้า ถ้าเป็นสองที่นั่งเคียงกันโอกาสรอดของนักบินคนหนึ่งจะน้อยกว่าอีกคน ตามสถิติของกองทัพอากาศสหรัฐฯที่เก็บมาตลอดตั้งแต่เริ่มใช้เก้าอี้ดีดตัวกับเจ็ตขับไล่
เอฟ16มีห่วงยางอันเดียวตรงหว่างขา เพราะค็อกพิตแคบมากเกินกว่าจะวางมันไว้ด้านข้างได้ ทางออกจากเครื่องมีทางเดียวคือให้ฝาครอบดีดตัวออกไปก่อนตามด้วยตัวนักบินพร้อมเก้าอี้ ระบบทำลายฝาครอบให้แตกกระจายก่อนดีดตัวไม่มีเพราะฝาถูกสร้างจากวัสดุคอมโพสิตที่หนาและเหนียว ไม่แตกจากการกระแทกด้วยพนักเก้าอี้ แต่ระบบทำลายฝาครอบให้สลายตัวก่อนนักบินดีดก็มีในเครื่องบินอีกหลายแบบ เช่นแฮริเออร์และฮอว์คของอังกฤษที่ฝังสายระเบิดไว้บนฝาครอบ เครื่องบินดังกล่าวจึงมีเส้นระเบิดเป็นสีขาวหยักๆพาดบนฝาครอบให้เห็น ด้วยวัตถุประสงค์อย่างเดียวคือเพื่อให้มันระเบิดออกก่อนนักบินดีดตัวหนีตาย
เมื่อนักบินหลุดจากเครื่องออกมาแล้วก็ใช่ว่าเก้าอี้จะยุติบทบาทไว้เพียงเท่านั้น แบบอัตโนมัติจะยังไม่เปิดร่มให้ถ้าดีดตัวที่ความสูงมากๆอากาศเบาบางจนนักบินหายใจไม่ออก ไจโรของเก้าอี้จะบังคับให้มันร่วงหล่นลงมาตรงๆ และเร็วจนถึงระดับที่อากาศพอหายใจเสียก่อนจึงจะเปิดร่มแล้วดีดตัวจากนักบิน ให้เขาลงสู่พื้นได้ด้วยร่มชูชีพเหมือนการโดดร่มธรรมดา บางรุ่นเช่นเอซเซสทูว์ของเอฟ16จะมีขวดอากาศสำรองติดไว้ด้านข้างให้นักบินใช้หายใจได้ก่อนเปิดร่ม
ถึงการดีดตัวขึ้นข้างบนจะเป็นวิธีการมาตรฐานแต่ก็ใช่ว่าเครื่องบินทุกเครื่องจะใช้วิธีนี้ได้ เครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์แบบบี52ใช้ระบบดีดตัวลงล่างเฉพาะนักบินและนักบินผู้ช่วย ท้องเครื่องบินจะระเบิดหลุดออกเป็นช่องให้ทั้งคนและเก้าอี้หล่นลงก่อนจะแยกกันที่ความสูงปลอดภัย ที่เหลืออีกสี่ที่นั่งในหน้าที่อื่นๆจะยิงตัวเองขึ้นข้างบนทั้งหมดด้วยเครื่องยนต์จรวดเหมือนวิธีการปกติ เครื่องบินขับไล่เอฟ111ออกแบบให้ค็อกพิตเป็นแค็ปซูลที่ดีดออกได้ทั้งค็อกพิต มีร่มชูชีพหลายอันพยุงตัวลงพื้นเหมือนแคปซูลยานอวกาศอพอลโล เจ็ตขับไล่รุ่นแรกๆเช่นเอฟ104ถูกออกแบบให้นักบินมีเดือยติดขาเพื่อเกี่ยวห่วงให้ดึงขาแนบเก้าอี้ แก้ปัญหาขาป่ายเปะปะเมื่อปะทะแรงลมอันจะทำให้บาดเจ็บได้ในการดีดตัวที่ความเร็วสูง
นอกจากการเด้งของฝาครอบและการระเบิดออกก่อนดีด เครื่องบินบางแบบที่ฝาครอบไม่หนาพอและทุบให้แตกได้ ก็มีอุปกรณ์กระแทกติดปลายพนักเช่นเครื่องบินโจมตีเอ10”ธันเดอร์โบลต์2”ของสหรัฐฯ มีตัวกระแทกฝาครอบเป็นโลหะแข็งและคมพอ ติดไว้ให้พุ่งกระแทกฝาแตกก่อนนักบินจะหลุดจากเครื่องในกรณีที่ขัดข้องดีดฝาครอบไม่ทันหรือไม่ยอมดีดตัว หากเกิดเหตุฉุกเฉินให้ต้องสละเครื่องขณะจอดนักบินก็ใช้ค้อนฉุกเฉินในห้องนักบินทุบฝาให้แตกได้เช่นกัน
เก้าอี้ดีดตัวยุคปัจจุบันนี้ถูกออกแบบด้วยสุดยอดเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของนักบิน มันถูกควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์และช่วยนักบินได้แม้เครื่องจะจอดบนพื้น เก้าอี้ดีดตัวระบบ”Zero-Zero”(ความสูงและความเร็วของเครื่องบินเป็นศูนย์)ถูกออกแบบให้ช่วยชีวิตนักบินได้ทั้งจากความเร็วและความสูงต่ำๆ รวมทั้งที่เครื่องบินจอดอยู่กับพื้นแต่มีเหตุให้นักบินต้องสละเครื่อง เทคโนโลยีซีโร-ซีโรคือการใช้แรงระเบิดขนาดเล็กเพื่อดึงร่มออกอย่างรวดเร็ว ตามหลังการยิงตัวเองพ้นเครื่องบินด้วยเครื่องยนต์จรวดใต้เก้าอี้ ฝาครอบระเบิดหลุดออกเองหรือใช้พนักเก้าอี้กระแทก ไม่ต้องใช้ความเร็วลมขณะบินมาเป่าให้หลุด
เมื่อเก้าอี้ดีดตัวช่วยชีวิตนักบินได้ในเครื่องบินขับไล่และเครื่องบินทิ้งระเบิด มันย่อมช่วยชีวิตนักบินรบในอากาศยานอื่นได้เหมือนกัน เฮลิคอปเตอร์โจมตีคามอฟ คา-50ของรัสเซียคือเครื่องบินปีกหมุนแบบแรกที่ใช้เก้าอี้ดีดตัว การทำงานของมันไม่ผิดเพี้ยนกับของเครื่องบินขับไล่ แต่แก้ปัญหาใบพัดหลักฟันคอนักบินขาดด้วยน็อตระเบิดตัวเอง สลัดใบพัดทุกกลีบให้หลุดด้วยแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ก่อนนักบินจะดีดตัวออกอย่างปลอดภัย
ยานฝึกเพื่อลงดวงจันทร์ของนาซาก็ใช้ระบบเก้าอี้ดีดตัวเช่นกัน เครื่องยนต์เจ็ตของยานจะดันตัวยานให้ลอยพ้นพื้นจำลองสภาพการลอยตัวของยานลงดวงจันทร์ แต่เมื่อพลาดนักบินอวกาศฝึกหัดก็สามารถเอาตัวรอดได้ นีล อาร์มสตรองใช้เก้าอี้ดีดตัวของยานนี้เป็นคนแรกเมื่อ6พฤษภาคม 1968 ถ้าไม่ได้ระบบช่วยชีวิตนี้ก้าวสั้นๆอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติจะถูกกระทำโดยผู้อื่นแทนที่จะเป็นเขา
โครงการยานขนส่งอวกาศ”บูราน”ของโซเวียต(สมัยนั้น) ที่เริ่มต้นในเวลาใกล้เคียงกับโครงการเดียวกันของสหรัฐฯ(ยานขนส่งอวกาศแชลเลนเจอร์,แอตแลนติสและดิสคัฟเวอรี่) ก็ใช้เก้าอี้ระบบดีดตัวที่ตนพัฒนาขึ้นเองคือK-36RB(K-36M-11F35) โลกไม่มีโอกาสเห็นมันทำงานเพราะโครงการ”บูราน”ของโซเวียตล้มเหลว ระบบดีดตัวจึงไม่ถูกติดตั้ง โซเวียตได้ใช้ระบบดีดตัวเมื่อดำเนินโครงการวอสต็อค ที่นักบินอวกาศต้องดีดตัวออกจากแคปซูลแล้วใช้ร่มที่ความสูง 23,000ฟุต ความจริงข้อนี้ถูกโซเวียตเก็บงำไว้หลายปีจนจำต้องทำตามระเบียบสากลของสมาพันธ์การบินนานาชาติ”FAI”( Fédération Aéronautique Internationale เฟเดเรซิญ็อง แอโรนอตีค แอ็งเตร์นาซิญ็องนาล)ที่กำหนดไว้ว่าจะบันทึกสถิติใดๆได้ ก็ต่อเมื่อนักบินอวกาศลงพื้นพร้อมยานเท่านั้น
โครงการยานขนส่งอวกาศของสหรัฐฯใช้ระบบดีดตัวนักบินทั้งหมด แม้แต่ยานแชลเลนเจอร์ที่ระเบิดกลางอากาศระบบนี้ทำงานก็จริงแต่นักบินก็ยังเสียชีวิต เครื่องบินผาดแผลงเครื่องยนต์เดียวซู-31เอ็มของรัสเซียคือเครื่องบินพลเรือนเพื่อกีฬาแบบเดียวที่ติดเก้าอี้ดีดตัวสเวซดา เอสเคเอส-94สำเร็จจากโรงงาน เทคโนโลยีที่พัฒนาให้ควบคุมอุปกรณ์นิรภัยได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดระบบเอาตัวรอดอื่นด้วยนอกจากเก้าอี้ดีดตัว เครื่องบินพลเรือนน้ำหนักเบาและเพื่อกีฬาการบิน(อัลตราไลต์)ใช้เครื่องยนต์เดียวความเร็วต่ำ เช่นเซอร์รัส เอสอาร์-22ถูกติดตั้งสำเร็จจากโรงงานด้วยร่มชูชีพที่จะพยุงเครื่องบินทั้งลำสู่พื้นเมื่อขัดข้องหรือเกิดอุบัติเหตุ ปลอดภัยทั้งนักบินและเครื่องบิน โดยนักบินยังอยู่ในเครื่องและตัวเครื่องเองก็ไม่ตกกระแทกพื้น
เก้าอี้ดีดตัวสำหรับเครื่องบินรบมุ่งเน้นที่การรอดตายของนักบิน แต่ไม่รับประกันว่าต้องรอดแบบครบสามสิบสอง มีเปอร์เซ็นต์สูงที่เขาถูกดีดออกมาแล้วจะบาดเจ็บจากปัจจัยหลายๆอย่าง รวมทั้งดีดออกแล้วร่มไม่กางซึ่งต้องดูกันเป็นกรณีๆไป เช่นใช้งานมานานแต่เก่าเก็บขาดการตรวจสอบ หรือนักบินใช้เก้าอี้ผิดวิธีจนมันไม่ทำงานได้ตามสเป็คที่ออกแบบมา การดีดตัวที่ความเร็วใกล้หรือเกิน1มัคก็มีสิทธิ์ทำให้กระดูกหักทั้งตัวจากแรงลมตีแขนขาให้พับ มีโอกาสเสียชีวิตมากเช่นกันเมื่อลงพื้นแล้วไม่ได้รับความช่วยเหลือทัน
เก้าอี้ดีดตัวจึงเป็นนวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยของอากาศยานแท้ๆ เพราะต้องใช้ระยะมากทั้งความกว้างและความสูงเพื่อให้ดีดออกและลอยลงมาอย่างปลอดภัย มันไม่เหมาะกับสำหรับรถยนต์หรือยานพาหนะอื่น มีที่ใกล้เคียงบ้างก็คือเรือยนต์แข่งความเร็วสูง ที่สร้างค็อกพิตเลียนแบบแต่ให้หลุดออกทั้งยวงแทนที่จะยิงตัวเองเหมือนของเครื่องบิน แต่กับรถยนต์แล้วเก้าอี้แบบนี้คงทำให้ดีดทิ้งได้อย่างเดียวแบบไม่ต้องมีร่มเวลาคนนั่งข้างๆทำตัวน่ารำคาญ ในความเป็นจริงแล้วไม่มี จะมีก็ในภาพยนตร์เท่านั้นที่สายลับอังกฤษรหัส007ใช้ดีดผู้ร้ายพ้นรถตัวเองบ่อยๆ!