วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

กองทัพกับปืนเล็กยาว



ทหารกับปืนเล็กยาวคือองค์ประกอบของหน่วยรบที่แยกกันไม่ออก ทั้งทหารและปืนเล็กจะขาดจากกันไม่ได้ในการสู้รบนับแต่มนุษย์คิดค้นปืนและกระสุนสำเร็จ ในอดีตปืนเล็กยาวแทบจะมีรูปพรรณสัณฐานเหมือนกันหมด เริ่มตั้งแต่ปืนคาบศิลาที่เกิดจากส่วนประกอบต่างๆคือลำกล้อง โครงปืน นกสับแก็ป เรือนเครื่องลั่นไกและพานท้าย แม้กาลเวลาจะล่วงเลยจากยุคปืนคาบศิลามาเป็นร้อยปี ถึงมีการนำกล้องเล็งขยายมาประกอบปืนก็ยังประกอบด้วยส่วนประกอบหลักๆดังกล่าว มันยังคงเป็นอาวุธใช้ยิงกระสุนขนาดเล็กจากลำกล้องเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถนำไปประกอบอาวุธอื่นที่ใหญ่หรือพิสดารกว่าได้ ทหารราบทั่วโลกจึงถูกฝึกให้ใช้ปืนเล็กยาวด้วยท่าทางเหมือนกัน เพราะรูปร่างของปืนไม่ต่างกันการจับถือและเล็งจึงไม่ต่างกันไม่ว่าผู้ใช้ปืนจะเป็นใคร
เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 เพราะกองทัพชาติต่างๆต้องเร่งผลิตอาวุธที่ดีกว่าเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบคู่สงคราม ปืนเล็กยาวจึงถูกพัฒนาตามแนวความคิดของแต่ละชาติให้มีรูปร่างหน้าตาและระบบการทำงานแตกต่างกันแบบคนละเรื่อง กองทัพเยอรมันเคยมีปืนเล็กยาวKAR 98Kของเมาเซอร์เป็นอาวุธประจำกายทหารมาตั้งแต่ปีค.ศ.1935 เรื่อยมาจนถึงปลายสงครามโลกครั้งที่2โดยมีMP40”ชไมเซอร์”เป็นปืนกลมือสำหรับการรบระยะประชิด
ครั้นถึงปีปลายค.ศ.1944ด้วยความรีบเร่งทั้งเพื่อทำสงครามและผลิตอาวุธ รูปแบบของปืนเล็กยาวของเยอรมันจึงเปลี่ยนไป จากปืนเล็กยาว(rifle)ธรรมดาที่สร้างด้วยเหล็กกับไม้คัดปลอกด้วยการดึงคันรั้งลูกเลื่อน กลายมาเป็นปืนเล็กยาวจู่โจม(assault rifle)ที่สร้างจากเหล็กปั๊มขึ้นรูป,พลาสติกเหลือแต่พานท้ายปืนที่ยังเป็นไม้ เลือกระบบการทำงานให้ยิงได้ทั้งทีละนัดและยิงชุดได้เหมือนปืนกล แต่ยังคงคุณสมบัติเหมือนปืนเล็กยาวดั้งเดิมคือเป็นอาวุธประจำกายทหารราบ ต้องประทับบ่าเล็งศูนย์แล้วยิง STG44ของกองทัพเยอรมันคือปืนเล็กยาวแบบใหม่ที่ปฏิวัติทั้งกรรมวิธีการผลิตระบบการทำงานและรูปร่าง
STG44ใช้ซองกระสุนโค้ง(ที่ถูกเรียกกันทั่วไปว่าแม็กฯกล้วย) มีอุปกรณ์จับถือเพิ่มขึ้นมาจากโครงปืนและพานท้ายคือด้ามจับ(grip)แบบเดียวกับปืนพก ทหารที่เคยฝึกการเล็งยิงด้วยปืนเล็กยาวมาตรฐานแบบไม่มีด้ามก็ต้องปรับตัวมาฝึกให้คุ้นเคยกับปืนแบบมีด้ามหลังโกร่งไกอย่างSTG44 ไม่เพียงเท่านั้นกองทัพยังต้องรับมือกับความใหม่ทั้งด้านขนาดของกระสุน การฝึกท่าบุคคลประกอบอาวุธและอุปกรณ์อะไหล่ต่างๆที่ใช้กับปืนใหม่
สหรัฐฯที่กำลังรบกับเยอรมันอยู่ก็ปรับเปลี่ยนเช่นกัน ด้วยการนำปืนกลธอมป์สันเข้าประจำการตั้งแต่ปีค.ศ.1938และใช้ในสงครามโลกครั้งที่2ควบคู่กับปืนเล็กยาวมาตรฐานM1”กาแรนด์” ด้วยกระสุนคนละขนาดกับM1หน่วยทหารที่ใช้ธอมป์สันต้องถูกฝึกด้วยปืนชนิดนี้มาตั้งแต่แรก หรือมิเช่นนั้นก็ต้องมีเวลาได้ทำความคุ้นเคยกับปืนใหม่จนใช้ได้คล่องแคล่วเสียก่อนจึงจะถูกส่งออกแนวรบ เพราะปืนเล็กยาวก็เหมือนกับอุปกรณ์ทุกอย่างที่ต้องอาศัยความชำนาญในการใช้งาน
ยิ่งสำคัญขึ้นไปอีกเมื่อมันตัดสินความเป็นความตายของผู้ใช้งานได้ ไม่ผิดเลยหากจะอ้างคำขวัญของเหล่านาวิกโยธินสหรัฐฯที่ว่า”Without me my rifle is useless,without my rifle I’m useless” เพราะในยามคับขันหากมีแค่สิ่งใดสิ่งหนึ่งแค่อย่างเดียวสถานการณ์ก็ดูจะย่ำแย่จริงๆ ทหารที่ใช้ปืนไม่คล่องจึงแทบไม่ต่างเลยจากไม่มีปืน
อาวุธประจำกายทหารเริ่มหลากหลายเมื่อกองทัพรับภารกิจมากขึ้น แม้แต่บางหน่วยงานพลเรือนอย่างตำรวจและหน่วยอารักขาก็ต้องใช้อาวุธร้ายแรงขึ้น รูปแบบของปืนจึงเปลี่ยนแปลงตาม แต่เดิมที่ไม่ค่อยคำนึงถึงสรีระของคนใช้งานและภารกิจก็เปลี่ยนมาคำนึงมากขึ้น ส่งผลให้รูปร่างของปืนเปลี่ยนไปนอกจากรูปแบบการทำงาน ปืนกลมือP90ของบริษัทฟาบรีค นาซิอ็องนาเล(FN)จากเบลเยียม มีรูปร่างและกลไกไม่เหมือนปืนกลมือแบบไหนๆที่มนุษย์เคยใช้ ทั้งโครงปืนผลิตจากโพลิเมอร์รวมถึงซองกระสุนพลาสติกใสเพื่อมองเห็นจำนวนกระสุน
ที่แปลกกว่าใครคือมันเรียงกระสุนในซองตั้งฉากกับทิศทางการยิง มีกลไกท้ายปืนเท่านั้นที่บิดตัวกระสุนให้หันหัวออกลำกล้อง ยิ่งกว่านั้นคือวางซองกระสุนไว้บนตัวปืนใต้ศูนย์เล็ง แทนที่ทหารจะดึงซองกระสุนออกทางด้านล่างหน้าโกร่งไกก็ต้องเปลี่ยนวิธีเปลี่ยนซองกระสุนใหม่ การจับปืนชนิดนี้ยิงเลยโดยไม่ฝึกฝนให้คล่องก่อนจึงเป็นอันตรายมากระหว่างคับขันหรือรบติดพัน ที่เวลาทุกวินาทีมีความหมายถึงชีวิต
รูปแบบสงครามที่เปลี่ยนไป จากสงครามเต็มรูปแบบอย่างสงครามโลกครั้งที่2มาเป็นสงครามในเมืองทำให้นักออกแบบปืนเล็กต้องพัฒนาแนวความคิดของตนให้สอดคล้องกัน จากเดิมที่เคยใช้ปืนเล็กยาวลำกล้องยาวมีพานท้ายเต็ม กลายมาเป็นปืนเล็กยาวลำกล้องสั้นลงและพานท้ายปรับระยะได้ เห็นชัดๆคือปืนคาร์บีนในตระกูลM16คือM4ที่มีรูปร่างหน้าตาและกลไกแทบจะเหมือนM16ทุกกระเบียดนิ้ว แต่ปรับปรุงการทำงานภายในให้ดีกว่า ลดข้อบกพร่องที่เคยพบในM16ลงได้มากรวมทั้งมีคุณสมบัติแบบนักรบในเมืองต้องการคือปรับความยาวของพานท้ายได้
แต่ดูเหมือนว่าความคล่องตัวของพานท้ายปรับได้จะยังไม่น่าพอใจ ปืนเล็กแบบบูลพัป(Bullpup)จึงเกิดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ให้เพิ่มความคล่องตัวกับทหารยามเคลื่อนย้ายกำลังด้วยรถยนต์และรบในเมือง ด้วยการคงความยาวลำกล้องขนาดเดียวกับปืนเล็กยาวไว้ แต่เลื่อนตำแหน่งเรือนเครื่องลั่นไกและซองกระสุนมาไว้หลังด้ามปืนและโกร่งไก ด้วยวิธีความยาวลำกล้องปืนจึงเท่าเดิมแต่ความยาวโดยรวมของปืนลดลง ช่วยให้คล่องตัวเมื่อเคลื่อนย้ายด้วยพาหนะ ใช้งานได้ดีในบริเวณจำกัดเช่นการรบในเมือง ซ้ำยังควบคุมทิศทางยิงได้ง่ายเพราะแรงรีคอยล์ต่ำจากการวางตำแหน่งลำกล้อง
ตัวอย่างชัดเจนของบูลพัปคือสไตเออร์AUGของออสเตรีย,ทาวอร์-ทาร์21ของอิสราเอล เอาปืนเล็กยาวจู่โจมสองแบบนี้มาวางเทียบกับM4แล้วจะพบว่ารูปร่างของมันแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งสไตเออร์และทาวอร์ดูเหมือนปืนอวกาศในภาพยนตร์เรื่องสตาร์วอร์ส มีส่วนประกอบปืนส่วนใหญ่เป็นโพลิเมอร์(พลาสติกเกรดสูง) โผล่แค่ลำกล้องโลหะให้เห็นเท่านั้น ต่างไปจากM4ที่เป็นปืนจากแนวความคิดแบบดั้งเดิมซึ่งดูจะใช้งานในสนามรบจริงๆได้ดีกว่า
การเปลี่ยนปืนจึงเป็นเรื่องใหญ่ของกองทัพ ไม่ว่าจะเปลี่ยนแบบหรือเปลี่ยนทั้งแบบและรูปร่าง เนื่องจากการเปลี่ยนอาวุธประจำกายแต่ละครั้งไม่ได้มีปัญหาแค่ที่ตัวทหาร แต่ยังกระทบกระเทือนถึงงบประมาณ การส่งกำลังบำรุง อะไหล่และปัญหาอื่นๆที่คนทั่วไปนึกไม่ถึง
เมื่อต้นทศวรรษ2000กองทัพสหรัฐฯเคยมีโครงการจัดหาปืนเล็กยาวแบบใหม่คือXM8 เพื่อทดแทนปืนตระกูลM16 ทั้งที่XM8เป็นปืนที่ดี เบาด้วยส่วนประกอบโพลิเมอร์ แม่นยำด้วยแรงรีคอยล์ต่ำจนยิงได้หมดซองกระสุนด้วยมือข้างเดียว ดีกว่าตระกูลM16ของโคลต์ ดีเฟนซ์ทุกอย่าง แต่ในที่สุดโครงการXM8ก็ต้องพับไปในปีค.ศ.2005เพราะใช้ชิ้นส่วนทดแทนไม่ได้กับปืนตระกูลM16ที่มีทั้งM16(A1ถึงA4)และM4 อันเป็นอาวุธประจำกายหลักของกองทัพสหรัฐฯและกองทัพของอีก80ประเทศทั่วโลก
HK416จากค่ายเฮคเลอร์อุนด์โค้ค(H&K) คือปืนอีกแบบที่จะเข้ามาแทนปืนตระกูลM16นั้นค่อนข้างจะไปได้สวย ด้วยคุณสมบัติความทนทานเทียบเคียงได้กับปืนตระกูลอาก้า ใช้กลไกช่วงบนทดแทนได้กับปืนตระกูลM16แต่ปัญหาคือราคามันแพงเกินไปหากจะเปลี่ยนกันทั้งหมด
ใครที่เคยสัมผัสกับM16หรือM4ของโคลต์มาแล้วจะพบว่ามันเป็นปืนของทหาร”ในกองทัพ”จริงๆ ดูแลกันให้”ถึง”เถิดแล้วจะไม่มีปัญหา ในคู่มือยังบอกไว้ด้วยว่าสำหรับ”highly trained doldiers”หรือ”สำหรับทหารที่ถูกฝึกมาอย่างดีเท่านั้น ซึ่งคำว่า”ฝึกมาอย่างดี”ยังกินความหมายรวมถึงการดูแลรักษาอาวุธประจำกาย ให้อยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานตลอดเวลาและทุกสถานการณ์ ต่างจากปืนของค่ายโซเวียตที่เน้นการใช้งานของกองกำลังจรยุทธที่ไม่ต้องดูแลกันมาก ปืนตระกูลอาก้านั้นแทบไม่ต้องหยอดน้ำมันเลยเป็นปีก็ยังยิงได้ดีเฉย
การเปลี่ยนอาวุธประจำกายทหารราบจึงเป็นปัญหาใหญ่ ว่ากันตั้งแต่หน่วยทหารที่ใช้อาวุธซึ่งหากฝึกด้วยปืนแบบหนึ่งมาจนขึ้นใจแล้วอาจขลุกขลักสักระยะหนึ่ง เป็นปัญหาสำหรับทหารประจำการที่คุ้นเคยระบบอาวุธเดิม แต่จะไม่เป็นปัญหาสำหรับทหารเกณฑ์ที่จะใช้อาวุธใหม่มาตั้งแต่ต้น ปัญหายังรวมถึงด้านเทคนิคการดูแลและซ่อม แม้อิสราเอลจะผลิตปืนทาวอร์ส่งออกกองทัพของประเทศนี้ยังคงใช้M4ของโคลต์อยู่ แล้วทยอยปรับเปลี่ยนโดยไม่ยกเลิกการใช้งานทั้งหมดด้วยเหตุผลข้างต้น
ถ้ากองทัพของเรายังต้องใช้ปืนตระกูลM16ของโคลต์เป็นหลัก(เว้นแต่บางส่วนของหน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็วที่ใช้ทาวอร์) และด้วยงบประมาณอันจำกัด การเปลี่ยนอาวุธใหม่ทั้งหมดคงไม่ใช่ทางออกที่ดี เว้นแต่จะให้ความสำคัญกับเทคนิคการบำรุงรักษาและเน้นให้ทหารฝังใจ ว่าปืนคือชีวิตและต้องดูแลมันเหมือนอวัยวะสำคัญที่พวกเขาจะพึ่งพาได้ยามคับขัน!

EOD. “ท่านวาง(ระเบิด) เราตามเก็บ(กู้)”


ถ้าเสื้อเกราะกันกระสุนเกิดขึ้นตั้งแต่มนุษย์รู้จักคิดค้นกระสุนดินดำ แล้วการเก็บกู้วัตถุระเบิดล่ะจะมีขึ้นตั้งแต่เมื่อไร? ตอบได้ง่ายๆว่า”ตั้งแต่มนุษย์รู้จักทำระเบิด”นั่นแหละ ด้วยหลักเหตุผลง่ายๆว่าเมื่อมีแรงกิริยาก็ต้องมีแรงปฏิกิริยาตอบโต้ มีคนต้องการทำลายก็ต้องมีคนคิดป้องกัน ถ้าคนเราคิดจะสังหารศัตรูด้วยระเบิดถ่วงเวลา,กับระเบิด,ทุ่นระเบิดกันมาตั้งแต่4-5,000ปี การเก็บกู้วัตถุระเบิดก็น่าจะมีมาพร้อมๆกัน แต่ที่เริ่มจัดตั้งเป็นองคาพยพหนึ่งในกองทัพชัดๆและใช้ชื่อว่า”หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด”(EOD : Explosive Ordnance Disposal) ก็เมื่อสงครามโลกครั้งที่1นี่เอง หลังจากชาติต่างๆในยุโรปเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตสินค้าและบริการขนานใหญ่ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และการควบคุมคุณภาพยังหละหลวมโดยเฉพาะกับวัตถุระเบิด
เมื่อการผลิตกระสุนและวัตถุระเบิดต่างๆด้วยเครื่องจักรยังเพิ่งเริ่มต้น จึงยังขาดการควบคุมคุณภาพและการตรวจสอบอันละเอียดเชื่อถือได้ ทำให้กระสุนปืนใหญ่ของแต่ละฝ่ายที่ยิงใส่กันนั้น”ด้าน”อยู่บ่อยๆ เมื่อกระทบที่หมายแล้วไม่ระเบิดแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันจะระเบิดเอาเมื่อไร ทิ้งไว้เฉยๆจะน่าหวาดหวั่นกว่าทำลายเสียโดยมีผู้กำกับดูแล ประมาณว่ากระสุนปืนใหญ่ของเยอรมันน่าจะด้านมากกว่าของอังกฤษ กองทัพบกอังกฤษจึงต้องสละงบประมาณและบุคลากรขึ้นตั้งเป็นหน่วยงานเฉพาะ มีชื่อแต่แรกว่า”หน่วยตรวจสอบวัตถุระเบิด”(Ordnance Examiner) ด้วยหน้าที่หลักคือตรวจสอบและทำลายกระสุนปืนใหญ่ของเยอรมันที่ยิงมาแล้วด้าน ส่วนฝ่ายเยอรมันและพันธมิตรก็มีหน่วยงานทำนองเดียวกันเกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน สังกัดเหล่าทหารช่างที่เรียกในภาษาตนว่า”พีโอนีร์”(Pionier)
ครั้นถึงปี1918ฝ่ายเยอรมันได้พัฒนาระเบิดไปไกลอีกขั้นด้วยชนวนหน่วงเวลา ไม่ทันได้ใช้เพราะแพ้สงครามโลกครั้งที่1เสียก่อน แต่ยังพัฒนาต่อจนถึงกลางทศวรรษที่1930 ในโครงการพัฒนาอาวุธลับเพื่อจะก่อสงครามขึ้นอีกในไม่กี่ปีข้างหน้า โครงการนี้นำไปสู่ระเบิดที่จงใจให้ด้านหรือUXB(Unexploded Bomb)จากการพัฒนาโดยแฮร์แบร์ต รูฮ์เล่อะมันน์แห่งบริษัทไรน์เมทัลล์ หนูทดลองระเบิดด้านของเยอรมันรายแรกคือชาวสเปนในสงครามกลางเมืองระหว่างปี1936-1939 ที่ฝ่ายนาซีเยอรมันส่งกองทัพไปหนุนฝ่ายนิยมฟาสซิสต์ของพลเอกฟรานซิสโก ฟรังโก และบอลเชวิกของรัสเซียหนุนฝ่ายตรงข้าม
เป็นการซ้อมรบแบบเอาจริงใช้กระสุนจริงและตายจริงๆ ระหว่างเยอรมันกับรัสเซียก่อนสงครามโลกครั้งที่2โดยชาวสเปนอยู่ตรงกลางถูกใช้ทดลองอาวุธต่างๆเพื่อประเมินผล ด้วยอาวุธหลากหลายทั้งเครื่องบิน รถถัง ยุทธวิธีใหม่ๆรวมทั้งระเบิดทั้งแบบทิ้งจากเครื่องบินและยิงจากปืนใหญ่ แถมด้วยทุ่นระเบิดบกเพื่อสังหารทหารราบและทำลายยานยนต์ คนที่ตายเป็นใบไม้ร่วงไม่ใช่ทหารเยอรมันและรัสเซีย กลับกลายเป็นชาวสเปนทั้งพลเรือนและทหารที่สังเวยชีวิตในสงครามโหดนี้ถึง500,000คน
เยอรมันพบว่าระเบิดด้านแบบจงใจนี้ สร้างความโกลาหลให้ข้าศึกได้ดีกว่าแบบยิงไปแล้วระเบิดเลย เพราะทำให้กองกำลังไม่กล้าเคลื่อนที่ ซ้ำยังต้องแบ่งกำลังพลมาตรวจสอบและทำลายกลายเป็นเครื่องหน่วงเวลาชั้นดีที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินกลยุทธ์ฝ่ายตนทั้งรุกและรับ ให้ระเบิดเสียเลยยังง่ายเสียกว่า
พอสงครามโลกครั้งที่2ระเบิดขึ้นในปีที่สงครามกลางเมืองสเปนจบ หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดของอังกฤษต้องทำงานหนักเมื่อเยอรมันศัตรูเก่าขนระเบิดไปทิ้งแบบปูพรม เกือบทั่วกรุงลอนดอนและเมืองสำคัญอื่นเช่นโคเวนตรี้ ระเบิดเยอรมันรุ่นนี้ซับซ้อนกว่ารุ่นใช้ในสเปนด้วยอุปกรณ์ต่อต้านการกู้ในตัวระเบิด มีชื่อว่าชนวนแบบZUS40ที่ลุฟต์วัฟเฟ่อะคิดค้นสำเร็จและหอบเอาไปถล่มเกาะอังกฤษช่วงกลางปี1940 ด้วยเจตนาว่าจะให้เครื่องมือนี้ฆ่าเจ้าหน้าที่เก็บกู้กันทีเดียวถ้าระเบิดเกิดด้าน ซึ่งฝ่ายอังกฤษเองก็ต้องเร่งพัฒนาอุปกรณ์และวิธีการเก็บกู้ให้ทัน แต่ทหารอังกฤษแท้ๆเองก็ฉลาดที่ไม่ยอมเก็บกู้ด้วยตัวเอง ให้ทหารของชาติในอาณานิคมคืออินเดียและกูรข่าไปกู้ระเบิด มีทหารอินเดียเข้าไปทำงานเฉพาะด้านเก็บกู้นี้แทบจะเป็นกำลังหลักในอาฟริกาเหนือและอิตาลี และในเมืองหลวงของอังกฤษระหว่างนั้นเยอรมันก็ทิ้งระเบิดลงมาเหมือนห่าฝนชนิดไม่ต้องลืมหูลืมตา จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ปัจจุบันนี้หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดของอังกฤษยังต้องเก็บกู้ระเบิดใหญ่น้อยที่ทิ้งจากเครื่องบินเยอรมันอยู่เป็นครั้งคราว ทั้งในกรุงลอนดอนและใกล้เคียง แม้สงครามโลกครั้งที่2จะสงบมา60กว่าปีแล้ว!
หมดยุคระเบิดทิ้งจากเครื่องบินก็มาถึงยุคระเบิดแสวงเครื่อง มันแพร่หลายกว่าเพราะทำง่ายวางง่ายวางที่ไหนก็ได้และใช้ใครไปวางก็ได้ตั้งแต่เด็กวัยประถมไปจนถึงผู้ใหญ่หัวหงอก ความเป็นผู้นำก็ตกอยู่กับอังกฤษแบบจำยอมอีกเมื่อเผชิญกับการวางระเบิดแบบพร่ำเพรื่อของกองกำลังสาธารณรัฐไอริช(ไออาร์เอ IRA Irish Republican Army) ต้องเผชิญกับระเบิดแสวงเครื่องหลากชนิดตั้งแต่ระเบิดยัดท่อเหล็กง่ายๆ ไปจนถึงระเบิดที่รอให้เหยื่อมาจุดชนวนเองโดยไม่ตั้งใจ ระเบิดข้างถนนที่เราเห็นเป็นข่าวในอิรักทุกวันนี้พวกไออาร์เอใช้มาตั้งแต่ต้นทศวรรษ1970แล้ว เพื่อบีบบังคับให้อังกฤษยอมปล่อยชาติตนเป็นอิสระ
จากแค่หน่วยเฉพาะกิจเล็กๆ กองทัพอังกฤษต้องขยายอัตรากำลังพลมาเป็นระดับกรม(ปัจจุบันคือกรมเก็บกู้วัตถุระเบิดที่11)เพื่อจัดการกับระเบิดวางของไออาร์เอโดยเฉพาะ เมื่อระเบิดแสวงเครื่องถูกวางไม่เลือกเป้าทั้งทหารและพลเรือน กรมพิเศษนี้ทำงานหนักมากทั้งที่อยู่ในยามสงบจนได้รับการเชิดชูเกียรติจากกองทัพบก
ด้วยรูปแบบของสงครามที่เปลี่ยนไป จากสงครามเต็มรูปแบบมาเป็นสงครามเครือข่ายและการก่อการร้าย ระเบิดแสวงเครื่องดูเหมือนจะเป็นเครื่องมือสร้างความหวาดหวั่นต่อเป้าหมายได้คุ้มค่าที่สุด แม้ไม่มีตัวระเบิดจริงๆแค่โทรขู่ว่าจะวางระเบิดก็อาจทำให้สถานที่ราชการต้องหยุดงาน โรงเรียนหยุดสอน ภาคอุตสาหกรรมหยุดการผลิต แม้จะมีระเบิดจริงแต่ไม่ระเบิดก็สร้างผลทางจิตใจได้เท่าเทียมกัน ยิ่งถ้าระเบิดนั้นเกิดเป็นของจริงและคร่าชีวิตผู้คน,ทำลายสิ่งก่อสร้างได้ ยิ่งเกิดผลร้ายซ้ำซ้อนทั้งชีวิตมนุษย์และทรัพย์สิน
ระเบิดแสวงเครื่องเป็นได้ทั้งเครื่องมือก่อการร้ายประสิทธิภาพสูง เพราะความหลากหลายของรูปแบบที่ทำให้ยากต่อการเก็บกู้ และความง่ายในการซ่อนพรางที่ไม่จำกัดขนาด จะยัดหรือฝังไว้ในซอกมุมไหนของภูมิประเทศก็ได้ จะเอามาพันไว้รอบตัวเพื่อเปลี่ยนเป็นระเบิดพลีชีพก็ได้และเป็นระเบิดแสวงเครื่องที่เก็บกู้ยากที่สุด เมื่อตัวระเบิดเองสามารถทำงานได้ทั้งด้วยผู้ถือระเบิดและจากการสั่งงานระยะไกล
การกู้ระเบิดแสวงเครื่องจึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวังสูงสุด ต้องถูกฝึกมาอย่างดีและต้องมีจิตสำนึกในด้านความปลอดภัยสูง เจ้าหน้าที่ทั้งพลเรือนและทหารในประเทศที่เผชิญภัยคุกคามแบบนี้บ่อยๆเช่นสหรัฐฯ จะได้รับการจัดสรรงบประมาณมาให้พอเพียงทั้งด้านการฝึกและอุปกรณ์ มีพร้อมทั้งหุ่นยนต์เก็บกู้กับระเบิดในกรณีที่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้ และชุดเก็บกู้(bomb suit)เมื่อต้องให้เจ้าหน้าที่เข้าไปพิสูจน์ทราบและหยุดการทำงานของระเบิด
ก่อนเกิดสงครามอิรักนั้นอังกฤษเชี่ยวชาญเป็นอันดับ1ด้านการเก็บกู้วัตถุระเบิด จากประสบการณ์ต่อต้านการก่อการร้ายของไออาร์เอที่ช่วงหลังๆใช้ระเบิดแสวงเครื่องเป็นอาวุธหลัก แต่หลังจากเกิดสงครามในอิรักและทหารอเมริกันเผชิญภัยจากระเบิดแสวงเครื่องไม่หยุดหย่อนทุกวัน อเมริกาก็พัฒนาความสามารถของตนขึ้นมาได้เท่าเทียมกัน แต่สหรัฐฯก็ยังส่งทหารมาศึกษารายละเอียดในภาคใต้ของไทยบ่อยๆเมื่อพบว่ารูปแบบการวางระเบิดที่เราพบอยู่นั้นสลับซับซ้อนกว่า ดัดแปลงเอาวัสดุในครัวเรือนมาทำระเบิดได้ร้ายแรงกว่า
เมื่อพูดถึงการวางระเบิดในภาคใต้และอีกหลายๆแห่งที่เคยมีมา จากภาพข่าวที่เห็นในโทรทัศน์และที่เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องถ่ายเก็บไว้ พบว่าการทำงานด้านเก็บกู้วัตถุระเบิดของเรายังคำนึงถึงความปลอดภัยและขั้นตอนที่ถูกต้องน้อยมาก ที่เคยเป็นข่าวดังชิ้นหนึ่งในภาคใต้เมื่อปีก่อนว่ามีการวางระเบิดมอเตอร์ไซค์แล้วเจ้าหน้าที่ผู้เก็บกู้เสียชีวิตขณะนำส่งโรงพยาบาลนั้น ที่เห็นคือเจ้าหน้าที่ทั้งสองท่านมิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนอันถูกต้อง คือไม่ได้กั้นบริเวณให้ไกลพอและเข้าไปตรวจสอบที่วางระเบิดมากกว่าหนึ่งนาย แรกเริ่มคือเดินรอบมอเตอร์ไซค์ระเบิดถึง3-5คนแล้วเหลือเพียง2คนที่ตรวจสอบซึ่งก็ยังผิด ผิดด้วยจำนวนและวิธีการที่หากไม่แน่ใจควรจะโยนเชือกเกี่ยวแล้วลาก หรือตัดสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ในบริเวณก่อนแล้วเข้าไปตรวจสอบเพียงคนเดียว เรื่องบอมบ์สูทนั้นไม่ว่ากันถ้าอ้างเหตุผลว่าของแพง แต่ขั้นตอนที่หละหลวมจนเป็นเหตุให้เสียชีวิตนั้นแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์เท่าที่ควร
แนวคิดแบบหนึ่งที่ฟังแล้วน่าตกใจ สลดใจ คือความคิดว่าจะไปซื้อหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิดทำไมตัวละเป็นสิบล้าน ทั้งที่งบประมาณเพื่อผลิตเจ้าหน้าที่เก็บกู้ฯถึงสามคนคนยังใช้ถูกกว่าตั้งเยอะ ถ้าความคิดว่าชีวิตคนถูกกว่าเครื่องจักรแบบนี้ยังมีอยู่ เราก็จะเห็นภาพเจ้าหน้าที่บาดเจ็บแขนขาขาดหรือเสียชีวิตอีกหลายรายในอนาคต รัฐบาลของเราหลายยุคหลายสมัยมาแล้วครับที่ถนัดกับการเอาเงินไปหว่านทิ้งเฉยๆโดยไม่เกิดประโยชน์ แต่กับสวัสดิภาพของผู้ปฏิบัติงานเพื่อความร่มเย็นและประโยชน์ของคนไทยส่วนใหญ่กลับละเลย!