วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

EOD. “ท่านวาง(ระเบิด) เราตามเก็บ(กู้)”


ถ้าเสื้อเกราะกันกระสุนเกิดขึ้นตั้งแต่มนุษย์รู้จักคิดค้นกระสุนดินดำ แล้วการเก็บกู้วัตถุระเบิดล่ะจะมีขึ้นตั้งแต่เมื่อไร? ตอบได้ง่ายๆว่า”ตั้งแต่มนุษย์รู้จักทำระเบิด”นั่นแหละ ด้วยหลักเหตุผลง่ายๆว่าเมื่อมีแรงกิริยาก็ต้องมีแรงปฏิกิริยาตอบโต้ มีคนต้องการทำลายก็ต้องมีคนคิดป้องกัน ถ้าคนเราคิดจะสังหารศัตรูด้วยระเบิดถ่วงเวลา,กับระเบิด,ทุ่นระเบิดกันมาตั้งแต่4-5,000ปี การเก็บกู้วัตถุระเบิดก็น่าจะมีมาพร้อมๆกัน แต่ที่เริ่มจัดตั้งเป็นองคาพยพหนึ่งในกองทัพชัดๆและใช้ชื่อว่า”หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด”(EOD : Explosive Ordnance Disposal) ก็เมื่อสงครามโลกครั้งที่1นี่เอง หลังจากชาติต่างๆในยุโรปเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตสินค้าและบริการขนานใหญ่ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และการควบคุมคุณภาพยังหละหลวมโดยเฉพาะกับวัตถุระเบิด
เมื่อการผลิตกระสุนและวัตถุระเบิดต่างๆด้วยเครื่องจักรยังเพิ่งเริ่มต้น จึงยังขาดการควบคุมคุณภาพและการตรวจสอบอันละเอียดเชื่อถือได้ ทำให้กระสุนปืนใหญ่ของแต่ละฝ่ายที่ยิงใส่กันนั้น”ด้าน”อยู่บ่อยๆ เมื่อกระทบที่หมายแล้วไม่ระเบิดแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันจะระเบิดเอาเมื่อไร ทิ้งไว้เฉยๆจะน่าหวาดหวั่นกว่าทำลายเสียโดยมีผู้กำกับดูแล ประมาณว่ากระสุนปืนใหญ่ของเยอรมันน่าจะด้านมากกว่าของอังกฤษ กองทัพบกอังกฤษจึงต้องสละงบประมาณและบุคลากรขึ้นตั้งเป็นหน่วยงานเฉพาะ มีชื่อแต่แรกว่า”หน่วยตรวจสอบวัตถุระเบิด”(Ordnance Examiner) ด้วยหน้าที่หลักคือตรวจสอบและทำลายกระสุนปืนใหญ่ของเยอรมันที่ยิงมาแล้วด้าน ส่วนฝ่ายเยอรมันและพันธมิตรก็มีหน่วยงานทำนองเดียวกันเกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน สังกัดเหล่าทหารช่างที่เรียกในภาษาตนว่า”พีโอนีร์”(Pionier)
ครั้นถึงปี1918ฝ่ายเยอรมันได้พัฒนาระเบิดไปไกลอีกขั้นด้วยชนวนหน่วงเวลา ไม่ทันได้ใช้เพราะแพ้สงครามโลกครั้งที่1เสียก่อน แต่ยังพัฒนาต่อจนถึงกลางทศวรรษที่1930 ในโครงการพัฒนาอาวุธลับเพื่อจะก่อสงครามขึ้นอีกในไม่กี่ปีข้างหน้า โครงการนี้นำไปสู่ระเบิดที่จงใจให้ด้านหรือUXB(Unexploded Bomb)จากการพัฒนาโดยแฮร์แบร์ต รูฮ์เล่อะมันน์แห่งบริษัทไรน์เมทัลล์ หนูทดลองระเบิดด้านของเยอรมันรายแรกคือชาวสเปนในสงครามกลางเมืองระหว่างปี1936-1939 ที่ฝ่ายนาซีเยอรมันส่งกองทัพไปหนุนฝ่ายนิยมฟาสซิสต์ของพลเอกฟรานซิสโก ฟรังโก และบอลเชวิกของรัสเซียหนุนฝ่ายตรงข้าม
เป็นการซ้อมรบแบบเอาจริงใช้กระสุนจริงและตายจริงๆ ระหว่างเยอรมันกับรัสเซียก่อนสงครามโลกครั้งที่2โดยชาวสเปนอยู่ตรงกลางถูกใช้ทดลองอาวุธต่างๆเพื่อประเมินผล ด้วยอาวุธหลากหลายทั้งเครื่องบิน รถถัง ยุทธวิธีใหม่ๆรวมทั้งระเบิดทั้งแบบทิ้งจากเครื่องบินและยิงจากปืนใหญ่ แถมด้วยทุ่นระเบิดบกเพื่อสังหารทหารราบและทำลายยานยนต์ คนที่ตายเป็นใบไม้ร่วงไม่ใช่ทหารเยอรมันและรัสเซีย กลับกลายเป็นชาวสเปนทั้งพลเรือนและทหารที่สังเวยชีวิตในสงครามโหดนี้ถึง500,000คน
เยอรมันพบว่าระเบิดด้านแบบจงใจนี้ สร้างความโกลาหลให้ข้าศึกได้ดีกว่าแบบยิงไปแล้วระเบิดเลย เพราะทำให้กองกำลังไม่กล้าเคลื่อนที่ ซ้ำยังต้องแบ่งกำลังพลมาตรวจสอบและทำลายกลายเป็นเครื่องหน่วงเวลาชั้นดีที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินกลยุทธ์ฝ่ายตนทั้งรุกและรับ ให้ระเบิดเสียเลยยังง่ายเสียกว่า
พอสงครามโลกครั้งที่2ระเบิดขึ้นในปีที่สงครามกลางเมืองสเปนจบ หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดของอังกฤษต้องทำงานหนักเมื่อเยอรมันศัตรูเก่าขนระเบิดไปทิ้งแบบปูพรม เกือบทั่วกรุงลอนดอนและเมืองสำคัญอื่นเช่นโคเวนตรี้ ระเบิดเยอรมันรุ่นนี้ซับซ้อนกว่ารุ่นใช้ในสเปนด้วยอุปกรณ์ต่อต้านการกู้ในตัวระเบิด มีชื่อว่าชนวนแบบZUS40ที่ลุฟต์วัฟเฟ่อะคิดค้นสำเร็จและหอบเอาไปถล่มเกาะอังกฤษช่วงกลางปี1940 ด้วยเจตนาว่าจะให้เครื่องมือนี้ฆ่าเจ้าหน้าที่เก็บกู้กันทีเดียวถ้าระเบิดเกิดด้าน ซึ่งฝ่ายอังกฤษเองก็ต้องเร่งพัฒนาอุปกรณ์และวิธีการเก็บกู้ให้ทัน แต่ทหารอังกฤษแท้ๆเองก็ฉลาดที่ไม่ยอมเก็บกู้ด้วยตัวเอง ให้ทหารของชาติในอาณานิคมคืออินเดียและกูรข่าไปกู้ระเบิด มีทหารอินเดียเข้าไปทำงานเฉพาะด้านเก็บกู้นี้แทบจะเป็นกำลังหลักในอาฟริกาเหนือและอิตาลี และในเมืองหลวงของอังกฤษระหว่างนั้นเยอรมันก็ทิ้งระเบิดลงมาเหมือนห่าฝนชนิดไม่ต้องลืมหูลืมตา จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ปัจจุบันนี้หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดของอังกฤษยังต้องเก็บกู้ระเบิดใหญ่น้อยที่ทิ้งจากเครื่องบินเยอรมันอยู่เป็นครั้งคราว ทั้งในกรุงลอนดอนและใกล้เคียง แม้สงครามโลกครั้งที่2จะสงบมา60กว่าปีแล้ว!
หมดยุคระเบิดทิ้งจากเครื่องบินก็มาถึงยุคระเบิดแสวงเครื่อง มันแพร่หลายกว่าเพราะทำง่ายวางง่ายวางที่ไหนก็ได้และใช้ใครไปวางก็ได้ตั้งแต่เด็กวัยประถมไปจนถึงผู้ใหญ่หัวหงอก ความเป็นผู้นำก็ตกอยู่กับอังกฤษแบบจำยอมอีกเมื่อเผชิญกับการวางระเบิดแบบพร่ำเพรื่อของกองกำลังสาธารณรัฐไอริช(ไออาร์เอ IRA Irish Republican Army) ต้องเผชิญกับระเบิดแสวงเครื่องหลากชนิดตั้งแต่ระเบิดยัดท่อเหล็กง่ายๆ ไปจนถึงระเบิดที่รอให้เหยื่อมาจุดชนวนเองโดยไม่ตั้งใจ ระเบิดข้างถนนที่เราเห็นเป็นข่าวในอิรักทุกวันนี้พวกไออาร์เอใช้มาตั้งแต่ต้นทศวรรษ1970แล้ว เพื่อบีบบังคับให้อังกฤษยอมปล่อยชาติตนเป็นอิสระ
จากแค่หน่วยเฉพาะกิจเล็กๆ กองทัพอังกฤษต้องขยายอัตรากำลังพลมาเป็นระดับกรม(ปัจจุบันคือกรมเก็บกู้วัตถุระเบิดที่11)เพื่อจัดการกับระเบิดวางของไออาร์เอโดยเฉพาะ เมื่อระเบิดแสวงเครื่องถูกวางไม่เลือกเป้าทั้งทหารและพลเรือน กรมพิเศษนี้ทำงานหนักมากทั้งที่อยู่ในยามสงบจนได้รับการเชิดชูเกียรติจากกองทัพบก
ด้วยรูปแบบของสงครามที่เปลี่ยนไป จากสงครามเต็มรูปแบบมาเป็นสงครามเครือข่ายและการก่อการร้าย ระเบิดแสวงเครื่องดูเหมือนจะเป็นเครื่องมือสร้างความหวาดหวั่นต่อเป้าหมายได้คุ้มค่าที่สุด แม้ไม่มีตัวระเบิดจริงๆแค่โทรขู่ว่าจะวางระเบิดก็อาจทำให้สถานที่ราชการต้องหยุดงาน โรงเรียนหยุดสอน ภาคอุตสาหกรรมหยุดการผลิต แม้จะมีระเบิดจริงแต่ไม่ระเบิดก็สร้างผลทางจิตใจได้เท่าเทียมกัน ยิ่งถ้าระเบิดนั้นเกิดเป็นของจริงและคร่าชีวิตผู้คน,ทำลายสิ่งก่อสร้างได้ ยิ่งเกิดผลร้ายซ้ำซ้อนทั้งชีวิตมนุษย์และทรัพย์สิน
ระเบิดแสวงเครื่องเป็นได้ทั้งเครื่องมือก่อการร้ายประสิทธิภาพสูง เพราะความหลากหลายของรูปแบบที่ทำให้ยากต่อการเก็บกู้ และความง่ายในการซ่อนพรางที่ไม่จำกัดขนาด จะยัดหรือฝังไว้ในซอกมุมไหนของภูมิประเทศก็ได้ จะเอามาพันไว้รอบตัวเพื่อเปลี่ยนเป็นระเบิดพลีชีพก็ได้และเป็นระเบิดแสวงเครื่องที่เก็บกู้ยากที่สุด เมื่อตัวระเบิดเองสามารถทำงานได้ทั้งด้วยผู้ถือระเบิดและจากการสั่งงานระยะไกล
การกู้ระเบิดแสวงเครื่องจึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวังสูงสุด ต้องถูกฝึกมาอย่างดีและต้องมีจิตสำนึกในด้านความปลอดภัยสูง เจ้าหน้าที่ทั้งพลเรือนและทหารในประเทศที่เผชิญภัยคุกคามแบบนี้บ่อยๆเช่นสหรัฐฯ จะได้รับการจัดสรรงบประมาณมาให้พอเพียงทั้งด้านการฝึกและอุปกรณ์ มีพร้อมทั้งหุ่นยนต์เก็บกู้กับระเบิดในกรณีที่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้ และชุดเก็บกู้(bomb suit)เมื่อต้องให้เจ้าหน้าที่เข้าไปพิสูจน์ทราบและหยุดการทำงานของระเบิด
ก่อนเกิดสงครามอิรักนั้นอังกฤษเชี่ยวชาญเป็นอันดับ1ด้านการเก็บกู้วัตถุระเบิด จากประสบการณ์ต่อต้านการก่อการร้ายของไออาร์เอที่ช่วงหลังๆใช้ระเบิดแสวงเครื่องเป็นอาวุธหลัก แต่หลังจากเกิดสงครามในอิรักและทหารอเมริกันเผชิญภัยจากระเบิดแสวงเครื่องไม่หยุดหย่อนทุกวัน อเมริกาก็พัฒนาความสามารถของตนขึ้นมาได้เท่าเทียมกัน แต่สหรัฐฯก็ยังส่งทหารมาศึกษารายละเอียดในภาคใต้ของไทยบ่อยๆเมื่อพบว่ารูปแบบการวางระเบิดที่เราพบอยู่นั้นสลับซับซ้อนกว่า ดัดแปลงเอาวัสดุในครัวเรือนมาทำระเบิดได้ร้ายแรงกว่า
เมื่อพูดถึงการวางระเบิดในภาคใต้และอีกหลายๆแห่งที่เคยมีมา จากภาพข่าวที่เห็นในโทรทัศน์และที่เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องถ่ายเก็บไว้ พบว่าการทำงานด้านเก็บกู้วัตถุระเบิดของเรายังคำนึงถึงความปลอดภัยและขั้นตอนที่ถูกต้องน้อยมาก ที่เคยเป็นข่าวดังชิ้นหนึ่งในภาคใต้เมื่อปีก่อนว่ามีการวางระเบิดมอเตอร์ไซค์แล้วเจ้าหน้าที่ผู้เก็บกู้เสียชีวิตขณะนำส่งโรงพยาบาลนั้น ที่เห็นคือเจ้าหน้าที่ทั้งสองท่านมิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนอันถูกต้อง คือไม่ได้กั้นบริเวณให้ไกลพอและเข้าไปตรวจสอบที่วางระเบิดมากกว่าหนึ่งนาย แรกเริ่มคือเดินรอบมอเตอร์ไซค์ระเบิดถึง3-5คนแล้วเหลือเพียง2คนที่ตรวจสอบซึ่งก็ยังผิด ผิดด้วยจำนวนและวิธีการที่หากไม่แน่ใจควรจะโยนเชือกเกี่ยวแล้วลาก หรือตัดสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ในบริเวณก่อนแล้วเข้าไปตรวจสอบเพียงคนเดียว เรื่องบอมบ์สูทนั้นไม่ว่ากันถ้าอ้างเหตุผลว่าของแพง แต่ขั้นตอนที่หละหลวมจนเป็นเหตุให้เสียชีวิตนั้นแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์เท่าที่ควร
แนวคิดแบบหนึ่งที่ฟังแล้วน่าตกใจ สลดใจ คือความคิดว่าจะไปซื้อหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิดทำไมตัวละเป็นสิบล้าน ทั้งที่งบประมาณเพื่อผลิตเจ้าหน้าที่เก็บกู้ฯถึงสามคนคนยังใช้ถูกกว่าตั้งเยอะ ถ้าความคิดว่าชีวิตคนถูกกว่าเครื่องจักรแบบนี้ยังมีอยู่ เราก็จะเห็นภาพเจ้าหน้าที่บาดเจ็บแขนขาขาดหรือเสียชีวิตอีกหลายรายในอนาคต รัฐบาลของเราหลายยุคหลายสมัยมาแล้วครับที่ถนัดกับการเอาเงินไปหว่านทิ้งเฉยๆโดยไม่เกิดประโยชน์ แต่กับสวัสดิภาพของผู้ปฏิบัติงานเพื่อความร่มเย็นและประโยชน์ของคนไทยส่วนใหญ่กลับละเลย!


“Silencer” เงียบสนิทหรือแค่ลดเสียง?


ในการรบราฆ่าฟันกันแต่นานมานั้น”ความได้เปรียบ”คือสิ่งที่คู่สงครามต่างแสวงหา การซ่อนพรางจึงถูกพัฒนาไม่หยุดหย่อนนับแต่เราเริ่มแบ่งฝ่ายแล้วหันหน้าเข้าสู้กัน และการ”พรางเสียง”ก็เป็นหนึ่งในความคิดที่เกิดขึ้นพร้อมกับปืนใช้กระสุนดินดำ ประสิทธิภาพของปืนนั้นก็โอเคอยู่แต่ทำยังไงจึงจะฆ่าได้เงียบ เพื่อฝ่ายตรงข้ามจะได้จับไม่ได้และจะได้ฆ่าต่อไปเรื่อยๆ แม้จะมีผู้คิคค้นอุปกรณ์สวมปากกระบอกปืนเพื่อลดเสียงหลายคนในช่วงต้นศตวรรษที่20 แต่คนที่ทำสำเร็จและเปิดตลาดยุทโธปกรณ์นี้ด้วยคือไฮแรม เพอร์ซี่ แม็กซิม บุตรชายของเซอร์ไฮแรม สตีเฟนส์ แม็กซิมบิดาแห่งปืนกลแม็กซิมอันลือลั่น และยังเป็นหลานของฮัดสัน แม็กซิมนักประดิษฐ์ผู้คิดค้นระเบิดอานุภาพสูงและกระสุนแบบต่างๆที่ใช้ในกองทัพ
เมื่อทั้งพ่อและปู่ทำมาหากินอยู่ในแวดวงอาวุธ จึงไม่แปลกที่แม็กซิมจะต้องคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกทำนองเดียวกัน เขาคือคนแรกที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าสร้างกระบอกเก็บเสียงสำเร็จและผลิตจำหน่ายด้วยในประมาณปีค.ศ.1902 ก่อนที่มันจะกลายเป็นอุปกรณ์ขาดไม่ได้ของทหารในหน่วยรบพิเศษยุคปัจจุบันในอีกร้อยปีต่อมา เพื่อให้รู้ว่าใครสร้างมันจึงถูกตั้งชื่อตามคนสร้างว่า”แม็กซิม ไซเลนเซอร์” ด้วยหลักการที่ไม่มากไปกว่าปลายท่อไอเสียเก็บเสียงของเครื่องยนต์สันดาปภายใน ในยุโรปสมัยเดียวกับเมื่อแม็กซิมยังมีชีวิตนั้นเรียกปลายท่อไอเสียแบบนี้ว่า”silencer”อยู่แล้วทั้งที่ไม่เกี่ยวกับปืนผาหน้าไม้ใดๆเลย และเพื่อไม่ให้มันไปซ้ำกับท่อไอเสียรถยนต์นี้เองกระบอกเก็บเสียงของปืนจึงถูกเรียกชื่อใหม่ว่า”suppressor” แต่พอนานไปก็เรียกปะปนกันไปหมดทั้ง”muffler,silencer,suppressor”ซึ่งมีความหมายเดียวกันในภาษาไทยว่า”กระบอกเก็บเสียง”
กระบอกเก็บเสียงคือท่อทรงกระบอกผิวเรียบสร้างจากเหล็กกล้าหรืออลูมินัม มีช่องว่างภายในและเชื่อมต่อกับลำกล้องปืนเล็กยาว,ปืนพก,ปืนกลมือ ถอดสับเปลี่ยนใช้กับปืนได้หลายกระบอกที่มีขนาดลำกล้องเท่ากัน(แต่ให้ประสิทธิภาพต่างกันตามความยาวลำกล้อง) อีกชนิดเป็นแบบเฉพาะที่ต่อปลายลำกล้องให้มีช่องว่างเพิ่มขึ้น ตัวลำกล้องถูกเจาะรูให้แก๊ซท้ายกระสุนไหลเข้าในช่องว่างนั้น เป็นส่วนของลำกล้องที่แยกกันไม่ออก หากจะทำความสะอาดกระบอกเก็บเสียงชนิดนี้ก็ต้องถอดชิ้นส่วนของปืน
ทั้งสองชนิดของกระบอกเก็บเสียงทำงานด้วยหลักการง่ายๆ คือยอมให้แก๊ซที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วจากท้ายกระสุนถูกกักอยู่ในกระบอกปลายลำกล้องและเย็นลง ผลคือแรงดันและความเร็วของกระสุนจะลดลงเช่นกันเมื่อพ้นปลายกระบอกเก็บเสียง โครงสร้างคือกระบอกเก็บเสียงจะถูกแบ่งเป็นช่องย่อยๆ4ถึง15ช่องให้กระสุนวิ่งผ่านตามยาว ช่องใหญ่ที่สุดคือช่องแรกติดปลายลำกล้องปืน ที่ให้ช่องใหญ่ที่สุดวางตัวใกล้ปากกระบอกก็เพื่อให้แก๊ซได้ขยายตัวในส่วนนี้มากที่สุด บริเวณนี้อาจขยายเนื้อที่หุ้มลำกล้องย้อนลงไปทางรังเพลิงก็ได้เพื่อให้ความยาวของปืนรวมกับตัวกระบอกไม่มากเกินไปจนเกะกะ
กระบอกเก็บเสียงถูกสร้างออกมาหลายรุ่นและแบบตามขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำกล้อง แบบใช้แล้วทิ้งที่ถูกคิดค้นขึ้นในทศวรรษ1980โดยกองทัพเรือสหรัฐฯสำหรับกระสุนปืนพกขนาด9ม.ม. ยาว150ม.ม.และเส้นผ่าศูนย์กลางด้านนอก45ม.ม. ยิงได้6นัดสำหรับกระสุนธรรมดาและ30นัดสำหรับกระสุนซับโซนิก(ความเร็วต่ำกว่าเสียง) ถ้ายิงมากกว่านี้แล้วคุณสมบัติด้านเก็บเสียงของมันจะด้อยลง ส่วนกระบอกเก็บเสียงของปืนเล็กยาวส่วนจะทำไว้สำหรับกระสุนขนาด.50 ความยาว509ม.ม.และเส้นผ่าศูนย์กลางด้านนอก76ม.ม. สำหรับหน่วยปฏิบัติการพิเศษเองที่ใช้อาวุธมาตรฐานยิงกระสุนขนาด5.56ม.ม. รวมทั้งหน่วยSWATที่ใช้ปืนกลมือส่วนใหญ่เป็นแบบMP5ของเฮคเลอร์อุนต์โค้ค(H&K : Heckler Und Koch)ขนาดกระสุน9ม.ม. ก็มีอุปกรณ์ดังกล่าวให้ปืนประเภทนี้ด้วย บริษัทSureFireที่ขึ้นชื่อด้านไฟฉายทางยุทธวิธีคือหนึ่งในผู้นำด้านกระบอกเก็บเสียงสำหรับปืนเล็กยาวมาตรฐาน
กระบอกเก็บเสียงทำงานด้วยหลักการดังกล่าวไปแล้ว คือกักแก๊ซไว้ในช่องที่ถูกแบ่งไว้เป็นช่วงๆตังแต่4ช่วงหรือมากกว่านั้นตามยาว ช่องว่างในช่วงต่างๆถูกกั้นไว้ด้วยผนังเป็นวงแหวนใหญ่กว่าหัวกระสุนประมาณ0.04ม.ม.พอให้มันพุ่งผ่านได้ ตามปกติวงแหวนแบ่งช่วง(baffle)ภายในจะเป็นโลหะชนิดเดียวกับตัวกระบอกเอง แต่ก็มีบางแบบจากผู้ผลิตเช่นVaimeที่สร้างวงแหวนด้วยพลาสติก ไม่ว่าจะเป็นวัสดุชนิดใดวงแหวนนี้จะถูกคั่นไว้ด้วยแหวนกั้น(spacer)คั่นช่วงตั้งฉากกับตัวมันเพื่อแบ่งช่วงในกระบอกให้เท่ากัน
วงแหวนแบ่งช่วงในปัจจุบันนี้ถูกออกแบบให้แตกต่างกันไปตามความคิดของผู้ผลิต ที่พยายามคิดค้นรูปแบบที่จะเก็บเสียงได้เงียบที่สุด ใช้งานทนทานที่สุด ถ้าใครคิดว่ากระบอกเก็บเสียงจะมีอายุยืนคู่กับปืนนั่นคือความคิดที่ผิด เพราะอุปกรณ์ชนิดนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้ได้ระยะหนึ่งแล้วทิ้ง เนื่องจากความร้อนและแรงอัดระหว่างกระสุนพุ่งผ่านจะทำลายคุณสมบัติของวัสดุลงไปเรื่อยๆ ยิ่งถ้าใช้ยิงบ่อยๆหรือยิงเร็วๆเช่นกับปืนเล็กยาวจู่โจมอัตโนมัติคุณภาพของมันจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่พัฒนาไม่หยุดยั้งและรวดเร็ว กระบอกเก็บเสียงบางแบรนด์ก็ถูกสร้างให้มีอายุยืนยาวน่าทึ่ง ทนทานต่อกระสุนปืนเล็กยาวได้30,000นัดก่อนหมดสภาพ
นอกจากกระบอกเก็บเสียงแบบ”แห้ง”ยังมีแบบ”เปียก”ด้วย ซึ่งหลักการคือสร้างตัวกระบอกเก็บเสียงด้วยโลหะแล้วภายในแล้วใช้ของเหลวอย่างน้ำเปล่า น้ำมัน,จาระบีหรือเจลเป็นตัวดูดซึมแก๊ซ ยิงได้ไม่กี่นัดก็ต้องเติมของเหลวใหม่ซึ่งทำได้ทั้งการเอากระบอกเก็บเสียงจุ่มน้ำหรือถอดมาปัสสาวะผ่าน ด้วยคุณสมบัติของของเหลวอันทึบและหนาแน่นกว่าอากาศมากนี้เองที่ช่วยให้เก็บเสียงได้เงียบกว่าแบบแห้ง น้ำคือตัวเก็บเสียงดีที่สุดเพราะสามารถดูดซับความร้อนได้สูงแต่ข้อเสียคือระเหยได้เร็วมาก จาระบีนั้นแม้จะเปื้อนได้ง่ายกว่าและด้อยประสิทธิภาพกว่าน้ำเปล่า ก็ยังคงตัวอยู่ในกระบอกได้นานกว่าแบบแทบไม่ต้องดูแลกันเลย
น้ำมันคือตัวดูดซึมเสียงคุณภาพต่ำที่สุดและไม่นิยมใช้บรรจุในกระบอก นอกจากจะเปื้อนมือไม้ได้ง่ายเหมือนจาระบีแล้วยังฟุ้งกระจายเป็นฝอยเข้าหูเข้าตาได้ง่ายกว่า ทิ้งหลักฐานไว้เพียบหลังยิงไปแต่ละนัด ระหว่างจาระบีกับน้ำมันคือเจลน้ำ(ประมาณเค-วายเจลลี่ที่พบตามร้านขายยาทั่วไป) ที่ให้สมรรถนะในการเก็บเสียงอยู่ตรงกลาง มันเก็บเสียงได้ดีเท่าจาระบีแต่ไม่ฟุ้งกระจายเหมือนน้ำมัน ข้อเสียคือบรรจุลงกระบอกยากต้องใช้เวลานานและต้องระวังเสมอไม่ให้ไหลย้อนเข้าลำกล้องปืนเพราะเหลวกว่าจาระบี
ตามปกติแล้วปืนพกเท่านั้นที่ใช้กระบอกเก็บเสียงแบบเปียก มันเหมาะเพราะแรงดันกระสุนและความร้อนไม่มากเท่าปืนเล็กยาว ด้วยคุณสมบัติที่ดีของของเหลวในการเก็บเสียงจึงทนกระสุนได้มากนัดกว่า ในขณะที่ไม่เหมาะกับปืนเล็กยาวเพราะด้วยแรงดันมหาศาลและความร้อน ของเหลวจะระเหยหรือเสื่อมสภาพได้ง่ายและเร็วหลังจากยิงไป2-3นัดเท่านั้น
กระบอกเก็บเสียงถูกพัฒนาไปไกลขึ้นในปัจจุบัน นอกจากการชลอการปล่อยความดันหรือลดความดันจากปากกระบอกแล้ว หลักการที่ถูกนำมาใช้คือการเปลี่ยนแปลงคลื่นเสียงอันเกิดขึ้นปลายลำกล้อง หลักการเปลี่ยนแปลงความถี่(phase cancellation)ช่วยให้กระบอกทำงานได้เงียบเชียบกว่าเดิม ด้วยการแยกช่องทางไหลเวียนของแก๊ซแล้วบังคับทิศทางให้มันปะทะกันเอง ผลคือได้เสียงในระดับอัลตราซาวนด์(ความถี่มากกว่า20กิโลเฮิร์ทส์)ที่หูมนุษย์ไม่ได้ยิน การเปลี่ยนแปลงความถี่เกิดขึ้นเมื่อคลื่นเสียงปริมาณเท่ากันมาปะทะกันเองด้วยมุม180องศา คลื่นเสียงที่ปะทะกันเองจะลดความกว้างของคลื่นรวมทั้งกำจัดความดันอันเกิดจากเสียงนั้นด้วย
ไม่ว่ากระบอกเก็บเสียงจะใช้หลักการอย่างใดในการสร้าง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุดคือแรงดันปากลำกล้องที่ความเร็วของคลื่นเสียงคือตัวแปรสำคัญ แรงดันนี้เปลี่ยนแปลงได้แตกต่างกันมากตามชนิดของกระสุนและความยาวของลำกล้อง จะให้เก็บเสียงได้เงียบที่สุดตัวกระบอกต้องออกแบบให้เข้ากับทั้งตัวกระสุนและลำกล้องปืน ใช่ว่ากระบอกเดียวจะใช้ได้ทั้งกับปืนพกและปืนเล็กยาวโดยไม่เลือกขนาดกระสุน
ประสิทธิภาพของกระบอกเก็บเสียงถูกเน้นให้ดีเกินจริงในภาพยนตร์หลายๆเรื่อง ตัวละครใช้ปืนเก็บเสียงยิงดังแค่”ฟึ้บๆๆ”และเบาแทบไม่ได้ยิน แต่ในความเป็นจริงจากการทดสอบวัดระดับความดังเป็นเดซิเบล พบว่ามันไม่ได้เงียบอย่างที่เข้าใจ กระบอกส่วนใหญ่ลดเสียงได้ไม่มาก เหลือแค่130ถึง145เดซิเบลเท่านั้นโดยเฉลี่ยซึ่งยังดังกว่าเสียงไซเรนรถพยาบาลหรือเสียงจากร็อคคอนเสิร์ตซึ่งดังอยู่ระหว่าง100-140เดซิเบล ต้องใช้ในสภาพที่เป็นใจด้วยจึงจะกลบเกลื่อนได้สนิทเช่นย่านที่มีเสียงดังอยู่แล้ว ต้องมีระยะยิงไกลพอสมควรที่จะไม่เปิดเผยที่ตั้งและอื่นๆอันต้องเกิดจากการฝึกฝนเพื่อใช้ปืนติดอุปกรณ์นี้โดยเฉพาะ
แม้กระบอกเก็บเสียงจะดูเหมือนสร้างกันง่ายๆ แต่การจะสร้างให้ทนและปลอดภัยกับผู้ใช้งานนั้นไม่ง่ายเลย ต้องใช้โลหะทนทั้งความร้อนและความดันมหาศาล จะทำเองด้วยการใช้ขวดโค้กพลาสติกติดปากลำกล้องแล้วยิงด้วยกระสุนมาตรฐานเหมือนในภาพยนตร์ยิ่งเป็นไปไม่ได้ แรงดันปากลำกล้องจะระเบิดขวดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในพริบตาและไม่ได้เก็บเสียงเลยแม้แต่น้อย
ยุทธภัณฑ์ชนิดนี้คือเทคโนโลยีที่มีต้นกำเนิดจากกิจการกรรมของพลเรือนแท้ๆ ที่ต้องการลดเสียงดังหนวกหูของเครื่องยนต์ให้ค่อยลงในระดับที่พอ(ทน)ฟังได้ กระนั้นพลเรือนอย่างคุณหรือใครๆก็ไม่สามารถครอบครองได้เพราะผิดกฎหมาย และไม่ควรทำเล่นเองที่บ้านเด็ดขาด